หลังจากที่นัทได้สมุดการบ้านของหัวหน้าห้องเพื่อจะนำมาลอกอยู่เรือนเพาะชำ แต่เมื่อเธอมาถึงก็พบว่า แปลงผักที่ได้ปลูกเอาไว้ตกกระจัดกระจายเต็มไปหมด บ้างก็หักและล้มระเนระนาด หัวใจของคนที่ปลูกและทะนุถนอมมาเยี่ยงชีวิตถึงกับหล่นวูบพร้อมกับน้ำตาที่กำลังคลอเบ้า
สภาพพืชผักและดอกไม้นานาชนิดดูเหมือนจะถูกทำลายจากบางสิ่งบางอย่าง เพราะประตูกรงเหล็กและประตูรั้วด้านนอกเปิดอ้าเอาไว้ นัทจึงรีบวิ่งกลับไปหาใครสักคนที่ตนรู้จักด้วยความร้อนใจ
“เฮ้ย ๆ นาย! เราฝากสมุดนี่ไปคืนเปาห้อง ม.4/1 หน่อย!”
“เปาไหนอะ ไม่รู้จัก”
“เออน่า!! แค่เอาไปคืนที่ ม.4/1 ให้ทันก่อนคาบโฮมรูมก็พอ แต๊งกิ้วนะ!!”
“เฮ้ย! เดี๋ยว!” 
เมื่อพูดจบเธอก็ยัดสมุดใส่มือนักเรียนชายสวมแว่นที่เดินผ่านมาทางนั้นพอดี ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่เรือนเพาะชำโดยเร็วที่สุด
ทันทีที่กลับมาถึง เธอไม่รอช้ารีบสำรวจหาต้นตอว่าใครกันที่เป็นคนร้ายทำลายแปลงผักที่เธอและคนสวนตั้งใจปลูกเพื่อเป็นอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนของเธอเอง ก่อนจะมีหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาและอุทานด้วยความตกใจ
“ว๊าย!! ที่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยนัท!!?”
“ป้าขาว! โทรหา ผอ. ให้หนูหน่อย ด่วน!!”


30 นาทีผ่านไป
“นัทคิดว่าใครเป็นคนทำ”
“น่าจะเป็นกระต่ายกับหมานะคะ ผอ. หนูเห็นรอยขุดกับรอยเท้าเต็มไปหมดเลย น่าจะไม่ได้มีตัวเดียวด้วย เหมือนยกโขยงกันมาเลย หมาอาจจะเข้ามาไล่กระต่ายจนเป็นสภาพแบบนี้ล่ะมั้งคะ”
“โรงเรียนอยู่ใกล้ป่าก็แบบนี้แหละ อาจจะมีทั้งกระรอก กระแต หรือพวกสัตว์กินพืชมากิน มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมัน แต่หมานี่สิ ทั้ง ๆ ที่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้ว เพราะแบบนี้ไงถึงได้กำชับเรากับปุ๊กว่าให้ปิดกรงเหล็กกับรั้วให้ดี ๆ แล้วเมื่อวานใครกลับเป็นคนสุดท้าย”
“พี่ปุ๊กค่ะ แล้ววันนี้พี่ปุ๊กหายไปไหนก็ไม่รู้ ปกติป่านนี้มาแล้วนะ”
“ปุ๊กโทรมาบอก ผอ. เมื่อคืนว่าแม่ล้มในห้องน้ำน่ะ อาจจะรีบกลับไปหาแม่จนลืมปิดประตูก็ได้”
“ขอโทษนะคะที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หนูน่าจะอยู่ช่วยพี่ปุ๊กดูจนกว่าจะกลับ”
“ช่างมันเถอะ มันเกิดขึ้นแล้วก็แก้ปัญหาไป ป้าขาว ผักในตู้ยังพอเหลือทำอาหารให้เด็กนักเรียนไหม” ผู้อำนวยการพูดพลางกับหันไปหาแม่บ้าน ซึ่งเธอได้แต่ยืนดูสภาพผักที่ล้มระเนนะนาดและรอยแทะจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
“น่าจะเหลือพอทำอาหารได้วันสองวันค่ะ ผอ.”
“อืม งั้นป้าขาวคงต้องให้เด็กไปหาซื้อผักในเมืองแล้วแหละ เกตกลัวว่าจะไม่พอ แต่กำชับว่าต้องเป็นออแกนิคนะคะ”
“ป้าว่า ป้าไปเลือกเองดีกว่าค่ะ ผอ. ปกติป้าเป็นคนทำอาหาร ป้าจะรู้ว่าต้องใช้อะไรบ้าง”
“งั้นก็ตามนั้นค่ะ ฝากด้วยนะคะ แล้วก็หาซื้ออะไรมาเสริมด้วยก็ได้”
“ได้เลยค่ะ”
“จัดการได้เลยนะคะ ส่วนที่นี่เดี๋ยวเกตให้คนสวนที่บ้านมาช่วยจัดการ    คงต้องเก็บกวาดซากพวกนี้แล้วค่อยปลูกใหม่ ส่วนนัทก็ไปเรียนได้เลยนะ ให้มันเป็นหน้าที่คนสวนเขาจัดการ เรามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป”
“ผอ. คะ หนูไม่มีกระจิตกระใจจะเรียนหรอก ขอหนูอยู่ช่วยที่นี่ได้ไหมคะ”
“ไม่ได้”
“ให้นัทอยู่ช่วยเถอะนะคะ ผอ. ตอนป้ามาเห็นแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว     ป้าว่านัทไม่มีสมาธิเรียนหรอกค่ะ”
“นะคะ ผอ. ขอหนูอยู่ช่วยที่นี่นะคะ”
“โอเค ๆ งั้นไปห้องปกครองแล้วก็เอาใบขออนุญาตทำกิจกรรมมานะ เดี๋ยว ผอ. จะเซ็นรับรองให้ แล้วก็เอาไปลาครูให้เรียบร้อย ประวัติโดดเรียนยิ่งเยอะอยู่ อย่าให้มันเป็นปัญหาอีก”
“รับทราบค่ะแม่ เอ้ย! ผอ. หนูไปเอาเลยนะคะ” 
เมื่อพูดจบ นัทก็รีบวิ่งออกไปทันที ทั้งผู้อำนวยการและแม่บ้านต่างมองตามและส่ายศีรษะไปมาเพราะรู้ว่า ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องหาวิธีโดดเรียนเพื่อมาเก็บกวาดเรือนเพาะชำอย่างแน่นอน ดังนั้นก็ควรทำการขออนุญาตให้เป็นลายลักษณ์อักษรจะดีกว่า


เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงคาบสุดท้ายของวัน กับการเรียนการสอนวิชาศิลปะของห้อง ม.4/1 ครูสาวได้แต่กำปากกาแน่นด้วยความไม่พอใจเพราะจนป่านนี้ ลูกศิษย์ของเธอยังไม่เข้าเรียนอีก ไปลอกการบ้านถึงไหนกัน หรือโดนการบ้านทับตายไปแล้วถึงได้หายหัวไปตั้งแต่เช้าจรดเย็นแบบนี้
“นัทยังไม่เข้าเรียนตั้งแต่เช้าเลยค่ะครู”
“แล้วเพื่อนไปไหน ทำไมไม่โทรตาม”
“เพื่อนปิดโทรศัพท์ค่ะ”
“ไม่เป็นไรเปา เดี๋ยวครูจัดการเอง ส่วนคนที่อยู่ก็ตั้งใจเรียนนะคะ วันนี้เราจะเรียนเรื่องศิลปะกับความรู้สึกกัน ครูจะให้นักเรียนจับคู่กันเพื่อทำกิจกรรมนะคะ กิจกรรมนี้มีชื่อว่า รู้จักฉัน รู้จักเธอ โดยการจับคู่ครั้งนี้ นักเรียนต้องจับคู่กับเพื่อนที่ไม่สนิท หรือคนที่อยากสนิทด้วย ถึงตอนนี้จะเปิดเทอมไปสองเดือนแล้ว แต่ครูก็เชื่อว่า ต้องมีใครในห้องที่เรายังไม่สนิทแน่นอน ถูกต้องไหมคะ”
“จับคู่กับคนที่สนิทไม่ได้เหรอคะครู!”
เป็นอย่างที่ครูระเบียบได้บอกเอาไว้ไม่มีผิด เมื่อมีการจับกลุ่มหรือจับคู่ภายในห้อง ถ้าหากแฝดสองไม่ได้คู่กันต้องมีเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเธอสองคนยกมือขึ้นและพูดพร้อมกันราวกับนัดกันเอาไว้
“ก็เพราะเป็นกิจกรรมรู้จักฉัน รู้จักเธอไงคะนักเรียน เดี๋ยวครูจะอธิบายให้ฟังนะว่ามันต้องทำยังไงบ้าง” ครูสาวตอบด้วยรอยยิ้ม นักเรียนทุกคนจึงฟังเธอด้วยความตั้งใจ
“กิจกรรมนี้จะใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งเดือนในการเรียนรู้หรือทำความรู้จักเพื่อนที่เป็นคู่ของเรา ครูจะให้นักเรียนวาดรูปที่สื่อถึงเพื่อนสองรูปด้วยกัน
รูปที่หนึ่งก็คือวันนี้ เรามองเห็นเขาเป็นคนยังไง และถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาด จะวาดอะไรก็ได้ วาดรูปเพื่อนก็ได้นะคะ แต่ต้องวาดตามความรู้สึกนะ
รูปที่สองคืออาทิตย์สุดท้ายก่อนที่เราจะได้เรียนคาบศิลปะในสิ้นเดือนนี้ หลังจากที่เริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนคนนี้ในเวลาหนึ่งเดือน เราเห็นอะไรในตัวเขาที่เราไม่เคยรู้มาก่อนไหม เขามีอะไรเปลี่ยนไป หรือมีอะไรที่ต่างไปจากที่เรารู้จักไหม ประมาณนี้นะคะ แล้วสิ้นเดือน ครูจะให้มานำเสนอเป็นคู่ และแนะนำเพื่อนในอีกมุมมองหนึ่งให้เพื่อน ๆ ในห้องรู้จักด้วย มีใครมีคำถามไหมคะ”
“แล้วจะวาดออกมาเป็นความรู้สึกยังไงคะครู หนูไม่เข้าใจ” 
เมื่อเปายกมือเพื่อเอ่ยถาม ครูตานจึงทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปด้วยรอยยิ้ม
“นักเรียนเคยวาดรูปตอนที่รู้สึกเบื่อไหมคะ บางคนก็จะวาดเป็นรูปทรงเรขาคณิต บางคนก็จะวาดเป็นภูเขา ก้อนเมฆ หรืออาจจะเป็นตัวการ์ตูนที่ตัวเองชอบ ซึ่งส่วนนี้มันแล้วแต่จินตนาการของทุกคนเลย ว่าต้องการที่จะสื่อไปในลักษณะไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสร้างสรรค์มันก็ล้วนเกิดจากอารมณ์และความรู้สึกทั้งนั้น แล้วการจับคู่เพื่อนในครั้งนี้ เราเห็นเพื่อนเป็นคนยังไง เราก็ใช้ความรู้สึกนั้นร่างภาพออกมา เช่น ครูเห็นเปาเป็นเด็กน่ารักเหมือนลูกแมวขี้อ้อน ครูก็อาจจะวาดแมวก็ได้ ไม่มีอะไรซับซ้อน หรือบางคนอาจจะซับซ้อนหน่อย โดยการใช้เทคนิคมาช่วย เช่น ครูเห็นโจอี้เป็นคนสนุกสนานเฮฮา ครูเลยสาดสีลงไปในกระดาษ เพราะจะสื่อถึงความสนุกสนานและดูมีชีวิตชีวา พอจะเข้าใจไหมคะ”
“อ๋อ...หนูเข้าใจแล้วค่ะ แสดงว่าจะวาดอะไรก็ไม่ผิดใช่ไหมคะ”
“นักเรียนจะวาดอะไรก็ได้ ไม่มีผิดถูก ไม่มีกรอบ ขอแค่สามารถนำเสนอให้เพื่อนในห้องเข้าใจก็พอ ใครมีคำถามอีกไหมคะ”
ทันทีที่ตานได้อธิบายให้นักเรียนฟังจบ โจอี้ที่นั่งอยู่หลังห้องก็กระโดดพุ่งขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับชูมือขึ้นทั้งสองข้าง เขาดูตื่นเต้นกับกิจกรรมนี้กว่าใครเพื่อนเลยทีเดียว
“ผมครับ ๆ ผมมีคำถามครับครู ผมขอถามครับ!”
“ว่าไงโจอี้”
“จับคู่กับผู้หญิงได้ไหมครับ ผมอยากคู่กับผู้หญิงครับ”
“ได้นะ ถ้าเพื่อนผู้หญิงเขาโอเค”
“กิ๊กเก๋! มาคู่กับเราเปล่า! เดี๋ยวเราจะคอยดูแลเธอตลอดหนึ่งเดือนที่คู่กับเราเลยนะ เธอจะได้รู้ว่าเราเป็นคนใจดี และสนุกสนานเฮฮา เราไม่ใช่ไอ้ตัวปัญหาอย่างที่เธอเรียกนะ!”
โจอี้พูดพลางกับชี้มาที่แฝดสาวทั้งสองที่นั่งฝั่งหน้าต่าง พวกเธอทั้งสองจึงเบ้ปากและกลอกตามองบนแทนคำตอบ
“ฮ่า ๆ ไอ้อี้ ครูให้จับคู่เว้ย! มึงจะควบสองไม่ได้ มึงจะเอากิ๊บเก๋ หรือกุ๊กกิ๊ก เลือกสักคนเด้!”
โปเต้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับตะโกนข้ามฟากเพื่อที่จะได้คุยโต้ตอบกับโจอี้แบบไม่เกรงใจครูสาวแม้แต่น้อย
“คนไหนกิ๊กเก๋ คนไหนกิ๊กกั๊กวะเต้”
“โอ๊ย!! เรียกชื่อยังเรียกไม่ถูกเลยไอ้บ้า!! แยกให้ออกก่อนค่อยมาอยากจับคู่กับพวกเรานะ!!” กิ๊บเก๋ยืนขึ้นตอบด้วยท่ากอดอก
“คนซ้ายกิ๊บเก๋ คนขวากุ๊กกิ๊ก” เคตอบแบบนิ่ง ๆ
“เฮ้ยเค! มึงแยกออกได้ไงวะ”
“เอ็งไม่สังเกตเพื่อนเหรอโจอี้ กิ๊บเก๋จะมีลักยิ้มที่ข้างซ้ายข้างเดียว ส่วนกุ๊กกิ๊กจะมีลักยิ้มสองข้าง”
คำตอบของเค ทำเอาเพื่อน ๆ ในห้องต่างตกตะลึง เพราะแม้แต่โปเต้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พวกเธอทั้งสอง ยังไม่ทันได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ
“งั้นเค้าคู่กับเค ส่วนตัวคู่กับโจอี้นะเก๋”
“อ้าวได้ไงอะกิ๊ก เค้าไม่อยากคู่กับโจอี้อะ มันพูดมาก”
“เค้าก็ไม่อยากคู่กับโจอี้เหมือนกัน งั้นเป่ายิ้งฉุบ ใครชนะคู่กับเค ส่วนใครแพ้คู่กับโจอี้”
“ตกลง! ยังยิงเยา ปักเป่ายิ้ง!! ...ฉุบ!!”
ตานได้แต่ยืนอมยิ้มอยู่หน้าห้องที่ดูเหมือนกับว่า การแยกแฝดสองออกจากกันจะไม่มีปัญหาอะไร แถมเด็กนักเรียนในห้องต่างตื่นเต้นกับการจับคู่กันจนมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วทั้งห้อง ซึ่งทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี เว้นก็แต่เด็กนักเรียนตัวแสบที่หายไปตั้งแต่เช้าเท่านั้น
เมื่อการจับคู่ของนักเรียนได้จบลง ทุกคนจึงสลับที่นั่งเพื่อไปวาดรูปคู่ของตนด้วยความตั้งอกตั้งใจ ยกเว้น…
“ทำไมฉันต้องได้คู่กับแกด้วยอะโปเต้!”
“ก็ไม่ได้อยากคู่กับแกหรอกนะเปา เพื่อนในห้องมีคู่กันหมดแล้วอะ มันก็เหลือแค่เราปะ”
“น่ารำคาญอะ”
“เหมือนกันล่ะวะ”
“พอ ๆ อย่าเถียงกันค่ะนักเรียน อ้อ! ครูลืมบอกไป เมื่อจับคู่กันแล้วไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนคู่นะคะ คู่ไหนคู่นั้น จนกว่าจะได้มานำเสนอที่หน้าห้อง”
“โห่ครู!! ผมไม่อยากคู่กับหัวหน้าอะ มันชอบทำตัวเอ๋อ ๆ แต่ปากมันโคตรจัดเลยครู”
“โอ๊ย!! แกก็ปากหมาเหมือนกันนั่นแหละโปเต้”
“ถ้ายังจะเถียงกันอีก ครูจะหักคะแนนเธอสองคนนะ ตั้งใจวาดได้แล้ว รู้สึกยังไงก็วาดมาแบบนั้นนั่นแหละ”
“ค่ะครู/ครับ”
“ครูคะ! แล้วนัทล่ะคะ เศษหนึ่งคนค่ะ” เปาเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนัทคู่กับครู”
“เฮ้ย!! ได้ไงอะครู! ผมอยากครูกับครูอะ ให้นัทมันมาคู่กับเปา แล้วผมคู่กับครูแทนได้ไหมครับคุณครูคนสวย”
“โปเต้ หักหนึ่งคะแนน”
“เฮ้ย!! ได้ไงอะครู หักทำไมครับ!?”
“จะอยากเปลี่ยนคู่อีกไหม จะได้หักอีกสิบคะแนน”
“ไม่ครับ!”
“ถ้าไม่ ก็เงียบ แล้วตั้งใจวาดรูปมาส่งครูท้ายคาบ”
โปเต้ได้แต่นั่งทำปากขมุบขมิบด้วยความไม่พอใจ ทำไมกันนะ คนที่โดดเรียนถึงได้ครูคนสวยไปเป็นคู่ แต่เขากับได้คู่กับหัวหน้าห้องที่ต้องได้เถียงกันทุกวัน


เข็มของนาฬิกาข้อมือ แสดงว่าเป็นเวลาห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว ตานรีบเก็บข้าวของให้เข้าที่ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวไปที่เรือนเพาะชำ แม้จะใส่รองเท้าส้นสูงก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ กับการที่จะต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าลูกศิษย์ของเธอได้แอบไปทำอะไรไม่ดีที่เรือนเพาะชำหรือไม่
“มันอะไรนักหนา...จะไปอยู่ที่เรือนเพาะชำอะไรนักหนา ถึงขั้นไม่ยอมเข้าเรียนแบบนี้ อย่าให้รู้นะว่าแอบไปทำเรื่องไม่ดี ฉันจะเอาเรื่องเธอให้ถึงที่สุด!!”
ตานบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความโมโห หรือเด็กที่เธอฝันถึงบ่อย ๆ จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ยังมีลมหายใจ ถึงได้ทำให้เธอหงุดหงิดได้เพียงนี้
เมื่อเธอมาถึงเรือนเพาะชำขนาดใหญ่ของโรงเรียนที่มีการแบ่งโซนเอาไว้เป็นสัดเป็นส่วน หากเดินผ่านรั้วที่เป็นเหล็กกั้นเข้าไปแล้ว ทางด้านซ้ายเป็นโรงเรือนสำหรับปลูกผักปลอดสารพิษหลากหลายชนิดทอดยาวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีลักษณะเป็นโดมและกรงเหล็กกั้นเอาไว้อย่างดี
ทางด้านขวา เป็นพื้นที่สำหรับเพาะพันธุ์ไม้ต่าง ๆ เพื่อเอาไว้ปลูกในบริเวณโรงเรียนโดยเฉพาะ และเมื่อเดินตรงไปข้างหลังจะเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ สำหรับเป็นที่พักผ่อนของผู้ดูแล และไว้สำหรับเพาะเมล็ดพันธุ์ไม้ ต้นแคคตัส และอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นกระถางเล็ก ๆ
ตานยืนมองดูต้นพุดตานที่ปลูกเอาไว้ริมรั้วด้วยความรู้สึกหวิว ๆ ในใจ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดอกพุดตานเปลี่ยนสีจากสีขาวบริสุทธิ์ในตอนเช้าเป็นสีชมพูเข้มได้เต็มที่ในตอนเย็นจวนจะร่วงโรยแล้ว เมื่อมือทั้งสองข้างเริ่มสั่นเทา เธอจึงได้แต่บีบมือตัวเองแล้วรีบกลั้นใจเดินเข้าไปเพื่อตามหานักเรียนของเธอก่อนที่ฟ้าจะมืด
บริเวณมุมด้านในของเรือนไม้ มีโต๊ะและเก้าอี้เก่าที่ถูกนำมาทิ้งไว้นับสิบตัว ซึ่งนักเรียนตัวแสบได้นำเก้าอี้มาวางเรียงกันสี่ตัว แล้วนอนหลับตากพัดลมอย่างสบายใจเฉิบ บรรยากาศรอบ ๆ ไม่ได้อบอ้าวอย่างที่คิด แต่มันกลับเย็นสบายจนชวนให้ง่วงนอนเป็นที่สุด
“มิน่าล่ะ มันเย็นสบายแบบนี้นี่เอง ถึงได้โดดเรียนมานอนอยู่นี่”
ตานยืนมองลูกศิษย์ของตนที่นอนกอดอกหลับตาพริ้ม ซึ่งหน้าผากยังหลงเหลือรอยช้ำและบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงเอื้อมมือไปสะกิดที่แขนเพื่อหวังจะปลุกให้ตื่น แต่นักเรียนตัวแสบก็ยังคงนอนหลับอยู่อย่างนั้นไม่ได้มีทีท่าว่าจะตื่นแม้แต่น้อย
“ยัง...ยังไม่ตื่นอีก นักเรียน!!!”
เมื่อตานตะคอกเสียงดังลั่น นัทก็ยังคงนอนแน่นิ่ง เธอจึงจับที่บ่าทั้งสองข้างแล้วเขย่าหลายครั้ง แต่นัทก็ยังไม่ตื่น จนเธอเริ่มร้อนใจ
“นักเรียน!! ตื่นสิ!! นัท! นัท!!”
“เฮือก!!”
ทันทีที่ตานใช้มือตบที่แก้มเบา ๆ นัทก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกับหายใจหอบแฮก สองมือของนัทกำแน่นที่แขนของครูสาว ดวงตาของเธอเบิกกว้างราวกับกำลังหวาดกลัวกับบางสิ่งบางอย่าง ครูสาวจึงเขย่าร่างของเธออีกครั้งเพื่อเรียกสติ
“นัท!! เป็นอะไร!?”
“เจ๊!! ช่วยด้วย!! แฮก ๆ”
“ใจเย็น ๆ เป็นอะไร หายใจเข้าลึก ๆ”
“หนูเกือบจมน้ำตายแล้วเจ๊!!”
“ไม่มีน้ำ เธอแค่ฝันนัท! ตั้งสติหน่อย”
“แฮก ๆ ๆ”
จากที่ตั้งใจจะมาเอาเรื่องลูกศิษย์ที่โดดเรียนทั้งวัน แต่พอเห็นนัทที่นั่งหายใจหอบแฮก และร่างกายสั่นเทา ทำให้ใจอ่อนยวบลงทันที เธอจึงได้แต่ลูบศีรษะปลอบขวัญพร้อมกับมืออีกข้างกุมมือนัทเอาไว้
“ใจเย็น ๆ นะ ค่อย ๆ หายใจ”
“แฮก ๆ เมื่อกี้หนูฝันว่ากำลังจะจมน้ำตายอะเจ๊ นึกว่าจะตายจริง ๆ แล้ว”
“ไม่เป็นไรนะ แค่ฝันร้ายน่ะ”
“แต่หนูฝันแบบนี้บ่อยมากเลยนะ มันเหมือนจริงมาก ทุกครั้งเลยด้วยที่นอนหลับช่วงเวลานี้”
“แล้วมาแอบหลับอะไรอยู่นี่ เลิกเรียนแล้วทำไมไม่รู้จักกลับบ้าน”
“วันนี้ช่วย ผอ. ปลูกผักทั้งวันเลยอะเจ๊ เพิ่งเสร็จตอนสี่โมงเย็นนี่เอง ก็เลยว่าจะนอนเอนหลังสักหน่อย แต่มันดันหลับยาวเลยนี่สิ”
“หือ? ปลูกผักช่วย ผอ. จริง ๆ เหรอ ไม่ใช่โดดเรียนหรือไง”
“จริงสิเจ๊ เนี่ยเดี๋ยวเอาใบขออนุญาตให้ดูเลย”
นัทพูดพลางกับค้นหากระดาษแผ่นหนึ่งในกระเป๋ามายื่นให้กับตาน เธอจึงรับมาอ่าน ซึ่งกระดาษแผ่นนี้คือใบขออนุญาตทำกิจกรรมในเวลาเรียนที่มีการลงลายมือชื่อของผู้อำนวยการเป็นการรับรองด้วย
“ไม่ได้ปลอมลายเซ็น ผอ. ใช่ไหมเนี่ย”
“เจ๊จะบ้าเหรอ ใครจะไปทำแบบนั้น ไม่เชื่อเจ๊ก็ไปถาม ผอ. ดูเลยก็ได้”
“แล้วทำไมไม่เอาไปลาครู จะเก็บไว้กับตัวทำไม”
“ก็กะว่าทำเสร็จค่อยไปลาทีเดียว แต่มันดันไม่เสร็จสักทีไง เลยยังไม่ได้ไปลา แล้วเจ๊มาทำไรที่นี่เนี่ย ผอ. รับเข้าทำงานปะ”
“มาอยู่ที่นี่ได้ก็ต้องรับแล้วสิ แต่ไม่ได้เป็นภารโรงนะ”
“จริงเหรอ!? แล้วเป็นไรอะ แม่บ้านเหรอ”
“ผู้ดูแลเรือนเพาะชำ”
“ไอยะ!! แบบนี้เราก็ได้เจอกันทุกวันเลยสิเจ๊”
นัทตอบพลางกับอมยิ้ม ก่อนจะทำท่ายกนิ้วโป้งขึ้นมาเพื่อแสดงความยินดี ตานจึงได้แต่ยิ้มมุมปาก และคิดหาทางแกล้งเด็กแสบคืนบ้าง
“อืม เราคงได้เจอกันบ่อย ๆ เลยล่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“จะมีลูกมือแล้วเหรอเนี่ย ว่าแต่เจ๊ชื่อไรอะ เรายังไม่รู้จักกันเลย เรามาสนิทกันไว้ดีกว่า”
“ได้สิ อยากสนิทด้วยเหมือนกัน เรียกเจ๊หมวยเหมือนเดิมนั่นแหละ จะได้สนิทกันเร็ว”
“ได้เลย ส่วนหนูชื่อนัทนะ เจ๊ก็รู้จักแล้ว พวกต้นไม้ ดอกไม้ หรือแม้แต่ผักที่นี่ ส่วนใหญ่หนูจะเป็นคนปลูกหมดเลย ถ้าอยากรู้อะไรถามได้เลยนะ เดี๋ยวสอนเอง มือเจ๊นุ่มแบบนี้คงไม่เคยปลูกล่ะสิท่า”
“อืม...ใจดีจัง ได้ข่าวว่าโดดเรียนมาอยู่ที่นี่บ่อยเหรอเราน่ะ”
“ก็มีบ้าง ขี้เกียจเรียนอะ ครูสอนอะไรก็ไม่รู้ โคตรน่าเบื่อเลย อยู่ที่นี่มีความสุขและได้ความรู้มากกว่าอีก”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แล้ว...ได้ข่าวว่ามีครูประจำชั้นคนใหม่นี่ เคยเจอยัง เห็นนักเรียนพูดกันเต็มเลยนะว่าสวยมาก”
“หึ ยังไม่เจอเลย แล้วเจ๊ทำไมชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบนี้เนี่ย รู้ไปหมดเลยนะ รู้แม้กระทั่งว่ามีครูประจำชั้นคนใหม่”
“นี่! หาว่าฉันสอดรู้เรื่องชาวบ้านเหรอฮะ!”
“ก็มันจริงนี่! รู้ดีกว่าหนูอีกอะ แล้วเจ๊เคยเห็นหน้าครูประจำชั้นคนใหม่ของหนูยัง เพื่อนบอกว่าสวย ไม่รู้จะสวยจริงไหม ไม่ใช่จะได้เจอครูแก่ ๆ หนังเหี่ยว ๆ เหมือนเจ๊เบียบนะ”
“ตบปากตัวเองเลยนะ!! ไปว่าครูระเบียบแบบนั้นได้ยังไง เธอน่ะมันโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้ครูระเบียบเป็นครูประจำชั้น ครูที่ใจดีและรักเด็กแบบนี้ไม่ได้หาง่าย ๆ นะนัท”
คำตอบที่ดูจริงจังของครูสาว ทำเอานัทถึงกับคิ้วขมวด ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้รู้ดีไปเสียทุกเรื่องแบบนี้นะ
“เจ๊”
“อะไร”
“เจ๊ชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านจริง ๆ ด้วย”
“ยัยบ้าเอ๊ย!!”
ด้วยความลืมตัว และเก็บความโมโหเอาไว้ระหว่างที่มายังเรือนเพาะชำแห่งนี้ ทำให้ตานมือไวใช้นิ้วดีดหน้าผากลูกศิษย์ไปหนึ่งที ซึ่งซ้ำรอยเดิมจากการโดนประตูกระแทกพอดี นัทจึงได้แต่เอามือกุมศีรษะตัวเองเอาไว้พร้อมกับโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย!! เจ็บ!! โอ๊ย...อันเก่ายังเจ็บอยู่เลย ทำไมทั้งแม่ ทั้งเจ๊ถึงชอบดีดหน้าผากกันแบบนี้อะ อา…”
“ขะ...ขอโทษ ฉันลืมตัว เจ็บมากไหม”
“เจ็บ!! มันซ้ำที่เดิมนะเจ๊!!”
“ขอโทษ กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวทายาให้”
“เจ๊ชอบทำร้ายร่างกายอะ จะฟ้อง ผอ.”
“ไม่ได้ชอบ ตอนเช้ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่เมื่อกี้เธอว่าฉันก่อนเองนะ!”
“ชิ...ปั่นจักรยานให้ซ้อนเลย”
“จะบ้าเหรอ! ฉันใส่กระโปรงนะ แล้วก็เลิกให้ฉันปั่นจักรยานให้ซ้อนสักทีเถอะ ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ให้เกียรติด้วย และก็หัดพูดเพราะ ๆ มีหางเสียงกับฉันด้วยนะ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะนัท”
“ก็ถ้าอยากสนิทกันเร็ว ก็ต้องคุยแบบเป็นกันเองสิ ไม่รู้ล่ะ กลับบ้านกันเหอะ ทายาให้ด้วย”
“รู้แล้วน่า!!”


ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง สายลมยามเย็น กับป่าข้างทางที่ไม่ได้หนาตานักจึงทำให้บรรยากาศไม่ได้ดูน่ากลัว แต่กลับทำให้สงบ ร่มรื่น ตานและนัทต่างตกลงไม่ได้ว่าใครจะปั่น ใครจะซ้อน เพราะไม่มีใครยอมใคร จึงต้องจบด้วยการที่นัทต้องจูงจักรยานเดินตามครูสาวกลับบ้านแทน แต่โชคยังดีที่บ้านพักของครูสาวห่างจากโรงเรียนแค่เพียงหนึ่งกิโลเท่านั้น ทำให้สามารถเดินไป-กลับ บ้านและโรงเรียนได้สบาย
“ฮืม ฮือ ฮืม ฮือ ~ เมื่อดวงใจมีรัก ดั่งเจ้านกโผบิน บินไปไกลแสนไกล...”
เสียงร้องเพลงแบบหวานใสดังแว่วตามหลังมาตานจึงหันขวับไปมอง ซึ่งเจ้าของเสียงหวานนั้นคือนักเรียนตัวแสบที่จูงรถไปด้วยพลางกับร้องเพลงไปด้วย 
เธอแลดูอารมณ์ดีแบบเกินเหตุ และไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย สงสัยคงนอนเติมแรงมาแบบเต็มที่แล้วเป็นแน่
“เกิดทันเพลงนี้หรือไง เห็นตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าด้วย ชอบเหรอ”
“ใช่ แม่ชอบเปิดฟังน่ะ รู้สึกว่ามันเพราะและก็ความหมายดีด้วย”
หลายครั้งที่เด็กนักเรียนคนนี้ ทำให้ครูสาวรู้สึกคิดถึงใครบางคนที่จากไปแล้ว แม้จะนานจนทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก แต่ความรู้สึกดี ๆ ก็ยังไม่เคยจางหายตามกาลเวลา ความสังหรณ์ใจแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วบ้านเจ๊อยู่ไหนเนี่ย กลับทางเดียวกับบ้านหนูเลย เราไปกลับด้วยกันได้ทุกวันเลยนะเนี่ย”
“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว รับรองว่าเธอเห็นบ้านฉัน เธอจะต้องตกใจแน่”
“ทำไมต้องตกใจอะ บ้านเจ๊ลอยได้เหรอ”
“ยัยเด็กบ้านี่!!”
“ฮ่า ๆ ๆ”
“หึ!!” ครูสาวได้แต่ทำหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจ เพราะเหมือนโดนเด็กเล่นหัวหลายต่อหลายครั้ง และเมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าบ้านจินดา นัทจึงเอียงคอด้วยความฉงน
“เจ๊พามานี่ไมอะ”
“ก็เนี่ยบ้านฉัน”
“เฮ้ย! บ้าไปแล้ว ไหนปรางบอกว่าบ้านหลังนี้เตรียมให้ครูคนใหม่มาอยู่ไง เจ๊ลักลอบมาอยู่ใช่ไหมเนี่ย ไม่ได้ขออนุญาต ผอ. ใช่ไหม”
“นี่เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอนัท ก็ ผอ. ให้ฉันมาอยู่บ้านหลังนี้ไง”
“หือ? งงไปหมดแล้ว สรุปว่าเจ๊มาอยู่แทนครูคนใหม่หรอกเหรอ”
“โอ๊ย!! ยัยเด็กโง่เอ๊ย!!”
“อ้าว ว่าหนูทำไม”
“ทำไมถึงได้เข้าใจอะไรยากแบบนี้เนี่ย หงุดหงิด!! จะทายาก็ตามเข้ามา!!”
เมื่อพูดจบ ตานก็เดินกระฟัดกระเฟียดหายเข้าไปในบ้านทันที ปล่อยให้นัทยังยืนทำหน้างงอยู่แบบนั้น
“เราทำไรผิดวะเนี่ย”


หลังจากที่นัทเดินตามเข้ามาในบ้าน เธอก็นั่งรอสาวสวยเจ้าของบ้านและตาปริบ ๆ เพื่อจะให้ทายาที่หน้าผากของเธอ ตานจึงมองค้อนเธอเล็กน้อย ก่อนจะถือกระปุกยาหม่องมาเปิดแล้วใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากแรง ๆ
“โอ๊ยเจ๊!! ทาเบา ๆ หน่อย!! จะฆ่ากันหรือไง”
“ไม่ตายหรอก หัวแข็งเหมือนกันนี่ โขกกับประตูแรงขนาดนั้นยังไม่แตกอีก สุดยอดไปเลย”
“คนดีผีคุ้ม”
“เหรอ! ทำไมไม่คุ้มให้หัวไม่โขกกับประตูล่ะ”
“ก็เจ๊เปิดมาไม่ดูเองอะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ว่ามีคนอยู่หน้าประตู จะมาทำไมก็ไม่รู้ บ้าจริง!”
“ขี้บ่นจัง เป่าให้หน่อย”
“เป่าอะไร”
“เป่าหน้าผากแบบตอนเช้าอะ”
“เป่าทำไม ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
“น่านะ เป่าให้หน่อย ตอนเจ๊เป่าให้แล้วมันรู้สึกดีอะ”
“เธอนี่นะ!!”
แม้ปากจะบ่น แต่ตานก็ใช้สองมือจับหมับที่บ่าทั้งสองข้าง แล้วออกแรงเป่าอย่างแรงไปหนึ่งที จนเจ้าตัวได้แต่มองค้อนและทำหน้ามุ่ย
“มองอะไร!?”
“เป่าดี ๆ สิเจ๊ นี่เจ๊ทำร้ายร่างกายหนูนะ”
“ก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจไง”
“เป่าดี ๆ”
“อือ ๆ เรื่องมากจังนะ”
ตานเปลี่ยนตำแหน่งจากบ่ามาประคองศีรษะของนัทด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาแล้วเป่าเบา ๆ ที่หน้าผาก กลิ่นกายอ่อน ๆ ราวกับกลิ่นแป้งเด็กโชยเข้ามาปะทะกับโสตประสาทของนัท พร้อมกับความรู้สึกหวิวในใจแบบแปลก ๆ การกระทำและกลิ่นหอมแบบนี้ทำไมเธอถึงได้คุ้นเคยนัก
'กลิ่นเหมือนแป้งเด็กเลย...ทำไม...ถึงรู้สึก...อยากกอดแบบนี้นะ…'
ระหว่างที่คิด มือทั้งสองค่อย ๆ เอื้อมมาจับที่เอวของครูสาว ก่อนจะอ้อมไปด้านหลังแล้วดึงร่างเข้ามาสวมกอดเอาไว้
“นัท!! เธอทำอะไรของเธอเนี่ย!!”
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“เด็กมันร้ายค่ะ แต่เด็กก็ยังไม่รู้ตัวสักทีว่าครูตานไม่ใช่แม่บ้าน T^T”