ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 6 ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้

ทันทีที่นัทคว้าเอวของครูสาวแล้วดึงเข้ามากอด ทำให้ตานตวาดกลับด้วยความตกใจ นัทจึงรีบผละออกพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้น ราวกับผู้ร้ายที่ยอมมอบตัว
“เธอทำบ้าอะไรของเธอ!!?”
“ขะ...ขอโทษนะเจ๊ หนูเป็นคนรักเด็กน่ะ แล้วกลิ่นตัวเจ๊เหมือนแป้งเด็กเลย มันเลยเผลอกอดอะ”
“เหตุผลฟังไม่ขึ้นนะนัท”
“จริง ๆ นะ กลิ่นเจ๊เหมือนแป้งเด็กจริง ๆ”
“อย่าไปกอดใครซี้ซั้วสิ นี่ถ้าเป็นผู้ชายคงโดนตบไปแล้วนะรู้ไหม”
“หนูขอโทษ”
“ช่างมันเถอะ ทายาเสร็จแล้วก็กลับบ้านไป เดี๋ยวมืดก่อน”
“เดี๋ยว”
“อะไรอีก”
“รดน้ำต้นไม้ก่อน เดี๋ยวกลับ”
“ไม่ต้อง! ฉันรดเองได้”
“เจ๊จะรดเองได้หรือไม่ได้มันก็เรื่องของเจ๊ แต่นี่ผู้ใหญ่เขาฝากไว้ หนูก็ต้องทำ ไปละ”
นัทพูดจบเธอก็เดินออกจากบ้านไป ทันทีที่นัทเดินพ้นประตูบ้าน ครูสาวถึงกับทรุดลงกับพื้น ไม่ใช่แค่นัทเท่านั้นที่รู้สึกคุ้นเคย แม้แต่ตานเองก็รู้สึกคุ้นเคยกับอ้อมกอดนี้เช่นกัน
'หลายครั้งแล้วนะ ทำไมนัทถึงได้เหมือนพี่สิบทิศขนาดนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!'
เธอพยายามปฏิเสธสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบเจอในตัวนัท มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร หรือเป็นเพราะเธอคิดถึงสิบทิศมากจนเห็นอะไรก็เป็นเขาไปเสียหมด เมื่อคิดได้แบบนั้น ตานจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูบ้านเพื่อที่จะสังเกตพฤติกรรมของลูกศิษย์ แล้วเธอก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง
ร่างเด็กสาวที่สวมชุดพละของโรงเรียนกัลทรประสิทธิ์ กางเกงสีกรมท่าแถบขาว เสื้อที่เป็นผ้าโทเรสีน้ำเงินอ่อน เธอยืนหันหลังโดยมือซ้ายจับสายยางรดน้ำต้นไม้ ส่วนมือขวาล้วงกระเป๋ากางเกงเอาไว้ พลางกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ซึ่งเป็นท่าทางที่อดีตคนรักของครูสาวมักจะทำเป็นประจำเวลารดน้ำต้นไม้ ตานยืนมองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก มันช่างบีบหัวใจเหลือเกิน เพราะเธอคิดถึงเขาจนใจแทบขาด
“นัท!!!”
“หือ?”
ยิ่งจังหวะการหันมายิ่งแล้วใหญ่ โดยมือก็ยังจับสายยางค้างเอาไว้อย่างนั้น และเอียงตัวหันมาเล็กน้อยด้วยใบหน้างง ๆ เพราะอาจจะกำลังฉงนว่าเธอจะตะคอกเสียงดังทำไมกัน ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ห่างกันแค่เพียงสามเมตร
“อะไรเจ๊”
“ไม่มีอะไร...ขอบคุณนะ”
“เรื่อง?”
“ที่มารดน้ำต้นไม้ให้”
“มันเป็นหน้าที่หนูที่ต้องดูแลต้นไม้พวกนี้อยู่แล้ว”


“มันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องดูแลต้นไม้พวกนี้อยู่แล้ว”
“แต่แผลพี่สิบทิศยังไม่หายดีเลย พี่อย่าหักโหมสิคะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณหนู เจ็บที่หัว แต่มือยังรดน้ำต้นไม้ได้อยู่”
“พี่ก็ว่าแต่ตานอะ แต่คนที่ดื้อที่สุดก็คือพี่”
“ฮ่า ๆ แล้วถ้าผมไม่ทำ ใครจะเป็นคนดูแลต้นไม้พวกนี้ล่ะครับ ผมเป็นคนสวนนะครับคุณหนู”
“จ้า...ทำหน้าที่ได้ดีมาก เดี๋ยวบอกพ่อขึ้นเงินเดือนให้นะ”
ชายหนุ่มขำเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันกลับไปรดน้ำต้นไม้ต่อโดยมือข้างซ้ายถือสายยาง มือข้างขวาล้วงกระเป๋ากางเกง ตานยืนมองแผ่นหลังที่ดูกว้างและอบอุ่นในคราวเดียวกัน เสมือนฮีโร่ที่คอยปกป้องในทุกครั้งที่เธอกำลังประสบปัญหากับอะไรก็ตาม แผ่นหลังกว้างนี้จะปรากฏกายอยู่ต่อหน้าเธอเสมอ
“พี่สิบทิศ!!” เมื่อตานเรียกเสียงดังลั่น สิบทิศจึงเอียงลำตัวมาเล็กน้อย ด้วยใบหน้างง ๆ
“ครับคุณหนู”
“สู้ ๆ นะคะ”
“ฮ่า ๆ อะไรกันครับเนี่ย”
“ทำไม บอกไม่ได้เหรอ”
“แล้วผมต้องสู้กับอะไรครับ”
“ทุกอย่างที่พี่ปกป้องตานไง”
“ฮ่า ๆ ครับ ผมสู้สุดใจอยู่แล้ว”
“พี่สิบทิศ!!”
“ครับ”
“พี่ชอบดอกไม้อะไรมากที่สุด”
“ดอกพุดตานครับ”
คำตอบที่ได้ยิน ทำเอาเด็กหญิงต้องจับผมของเธอไปทัดที่ข้างหู ก่อนจะเบือนหน้าหลบรอยยิ้มที่อบอุ่นของชายหนุ่ม แม้เธอจะถามถึงดอกไม้ก็ตาม แต่สิ่งที่ชายหนุ่มตอบนั้น ไม่ได้หมายถึงดอกไม้แต่อย่างใด
“ทำไมถึงชอบเหรอคะ”
“เพราะดอกพุดตานเป็นดอกไม้ที่มหัศจรรย์ล่ะมั้งครับ ในหนึ่งวันสามารถเปลี่ยนสีได้ถึงสามสีเลย จากสีขาวที่เหมือนเด็กที่แสนบริสุทธิ์ จนเติบโตเป็นดอกสีชมพูเข้ม เหมือนผมได้เฝ้ามองเขาเติบโตในทุก ๆ วัน มันทำให้ผมมีความสุข”
“ผู้ชายที่ไหนเขาชอบดอกไม้กัน”
“ก็ผมนี่แหละครับ ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ชอบดอกไม้มาก ๆ โดยเฉพาะดอกพุดตาน…”


“เจ๊!!”
เมื่อตานได้ยินเสียงเรียก เธอถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะเธอเอาแต่คิดถึงเรื่องในอดีตจนยืนเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“ฮะ!?”
“เหม่ออะไร”
“ปะ...เปล่า เสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว กลับแล้วนะ”
“เดี๋ยวนัท”
“หือ? ไรเจ๊”
“เธอชอบด…”
อืด อืด ~
ยังไม่ทันที่ตานจะได้พูดหรือถามอะไร เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอที่สั่นครืดอยู่บนโต๊ะก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน เธอจึงต้องรีบวิ่งไปรับโทรศัพท์อย่าเสียไม่ได้
“ค่ะ ป้ามะลิ”
“คุณหนูคะ ตอนนี้อยู่ที่โรงเรียนหรือที่บ้านคะ”
“อยู่บ้านค่ะป้า ตานกลับมาแล้ว”
“อา...โชคดีจังเลย ป้ากำลังจะถึงบ้านแล้วนะคะ เดี๋ยววันนี้ป้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทานนะคะคุณหนู”
“ว้าว! จริงเหรอคะ ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือป้ามะลิตั้งนาน ในที่สุดก็จะได้กินสักที”
“ป้าซื้อเครื่องไว้สำหรับทำแกงส้มของชอบคุณหนูโดยเฉพาะเลย อีกเดี๋ยวจะถึงแล้วค่ะ”
“ค่า...ตานจะรอนะคะ”
เมื่อวางสายได้ ตานไม่รอช้ารีบวิ่งกลับไปที่หน้าบ้านอีกครั้ง ซึ่งนัทกำลังจะปั่นจักรยานออกไปพอดี เธอจึงต้องรีบห้ามเอาไว้ก่อน
“นัท!! อย่าเพิ่งไป!!”
“โอ๊ยไรอีกเนี่ยเจ๊!”
“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้บอกแม่ไว้ เดี๋ยวแม่จะรอกินข้าว”
“เหรอ ขอเวลาอีกสักหน่อยได้ไหม รีบหรือเปล่า”
“อะไรของเจ๊เนี่ย ก่อนหน้านี้ยังไล่กลับบ้านอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถ่วงเวลาจะให้อยู่อะ”
“ที่เราคุยกันค้างไว้เมื่อกี้ไง”
“พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้ ยังไงก็จะได้เจอกันอยู่แล้ว หนูต้องกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวแม่จะรอ”
“อ๋อ อืม…งั้นกลับดี ๆ นะ”
“โอเค”
แม้ภายในใจอยากจะฉุดรั้งเอาไว้ พร้อมกับที่นัทก็ยังอยากอยู่ตรงนี้แบบไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกคำนึงหาที่ทั้งสองไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร แต่ทั้งสองก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจเท่านั้น 
ตานยืนมองลูกศิษย์ของเธอปั่นจักรยานออกไปจนลับตา และไม่นานรถเก๋งสีขาวก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน พร้อมกับคนเป็นแม่เลี้ยงที่กำลังจะถือของพะรุงพะรังลงจากรถ ตานจึงรีบเข้าไปช่วยขนของลงจากรถด้วยความกระตือรือร้น
“ป้ามะลิเดี๋ยวตานช่วย”
“ไม่ต้องเลยค่ะคุณหนู เดี๋ยวป้าขนเอง”
“ไม่ค่ะ ตานจะช่วย”
“อะเอ่อ...ขอบคุณนะคะคุณหนู”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง”
มะลิได้แต่มองตามหญิงสาวที่กำลังถือของพะรุงพะรังรับช่วงต่อจากเธอแล้วเดินหายเข้าไปในบ้าน พลางกับอมยิ้มด้วยความเอ็นดูที่คุณหนูพุดตานของเธอโตขึ้นมาสวยทั้งภายในและภายนอก เพราะไม่เคยมองว่าเธอเป็นคนต่ำต้อย      แต่กลับรักและเคารพเธอเสมือนเป็นแม่แท้ ๆ เลยก็ว่าได้


“นัท!! หัวไปโดนอะไรมา ไปทะเลาะกับใครมาอีกเนี่ย!!?”
เมื่อนัทก้าวขาเข้ามาในบ้านได้ คนเป็นแม่ที่เห็นหน้าผากของลูกสาวมีรอยพกช้ำถึงกับลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้โต๊ะกินข้าวด้วยความตกใจ ก่อนจะดึงข้อมือเธอเข้ามาใกล้ ๆ แล้วมองสำรวจด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ได้ทะเลาะกับใคร นัทเดินชนประตู”
“แม่ไม่เชื่อหรอก”
“แล้วมีครูโทรมาเรียกแม่ให้ไปโรงเรียนไหมล่ะ ถ้าไม่ ก็แสดงว่านัทไม่ได้ทะเลาะกับใคร นัทบอกแม่แล้วไงว่านัทเลิกตีกับเพื่อนผู้ชายแล้ว”
“โอเค ๆ แล้วไปเดินยังไงให้ชนประตูได้เนี่ย”
“นัทซุ่มซ่ามเองน่ะแม่”
“โอ๊ยนัทเอ๊ย! ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวแม่ทายาให้”
“แม่”
“หือ?”
“เป่าให้หน่อย”
“เป่าอะไร”
“เป่าหน้าผาก ตรงเนี้ย ตรงที่มันโน”
นัทพูดพลางกับใช้นิ้วชี้ที่หน้าผากที่บวมเป่งออกมา พร้อมกับทำท่าทางออดอ้อน คนเป็นแม่จึงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“เดินชนประตูแล้วสมองกลับเหรอนัท”
“ทำไมอ่า”
“มาอ้อนอะไร ปกติกลับบ้านก็ต้องบ่น ๆ แต่วันนี้ทำตัวแปลก ๆ”
“แปลกยังไง”
“ไม่รู้ แต่แม่รู้สึกว่านัทแปลกไป”
“แม่คิดไปเองหรือเปล่า นัทก็เป็นของนัทแบบนี้แหละ เร็วสิแม่ เป่าหน้าผากให้หน่อย”
“อะ ๆ” เมื่อพูดจบ คนเป็นแม่จึงโน้มตัวมาเป่าที่หน้าผากให้เบา ๆ แต่นัทกลับยืนนิ่งพร้อมกับขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนกับคิดอะไรบางอย่าง
“เพี้ยง! หายเจ็บนะลูกนะ”
“ทำไมใจไม่เต้นแรงวะ…”
นัทบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับใช้มือขวากุมที่หน้าอกข้างซ้ายของตน ยิ่งทำให้แม่ของเธองงเข้าไปใหญ่
“อะไร? ทำไมต้องใจเต้นแรง”
“ไม่มีอะไรแม่ ไปอาบน้ำแล้วนะ”
“เอ้า! สมองลูกฉันต้องกระทบกระเทือนแน่ ๆ”


บนโต๊ะกินข้าวที่มีอาหารจานโปรดของคุณหนูพุดตานคือแกงส้มชะอมทอดปลานิลในหม้อไฟฟ้าที่กำลังเดือดปุด ๆ แม้จะมีฝาหม้อครอบเอาไว้แต่ก็ยังส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งบ้าน มะลิตักข้าวสวยหอมมะลิร้อน ๆ ใส่จานมาวางไว้ต่อหน้าหญิงสาวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยอาหารฝีมือแม่เลี้ยงด้วยดวงตาที่เป็นประกาย จนคนเป็นแม่เลี้ยงอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“ขอบคุณค่ะ อา...หอมจัง อยากกินแล้ว…”
“เดี๋ยวรอผักสุกอีกสักหน่อยก่อนนะคะคุณหนู”
“อยากกินแล้ว ๆ เมื่อไหร่จะสุกน้า…”
ท่าทางที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ ใครเห็นก็คงหลงรักหัวปักหัวปำเป็นแน่ แม้จะโตเป็นสาวแล้ว แต่การถือช้อนส้อมขึ้นมากำเอาไว้ระหว่างรออาหารสุกแบบนี้ ทำให้รู้เลยว่ากาลเวลาไม่ได้ทำให้คุณหนูเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
มะลิยืนมองพลางกับอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยิบฝาหม้อเปิดออก ไอความร้อนก็ฟุ้งออกมาพร้อมกับกลิ่นแกงส้มที่หอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ ยิ่งทำให้หญิงสาวแสดงอาการดีใจด้วยการปรบมือแบบรัว ๆ
“ฮือ!! หอมมาก!!”
“ทานได้เลยค่ะคุณหนู”
“เย่!! ลุยแล้วนะ!!”
ตานจับช้อนตักน้ำแกงส้มขึ้นมาซดจนแทบจะลุกขึ้นมารำอยู่แล้ว เพราะอาหารฝีมือแม่เลี้ยงนั้นอร่อยเหาะเลยทีเดียว รสชาติเปรี้ยวหวานนำแบบไม่มีอะไรเด่นกว่ากัน ช่างเข้ากันได้ดีเสียจริง
“อา...อร่อยอ๊า!!”
“ฮ่า ๆ ค่อย ๆ ทานค่ะคุณหนู เดี๋ยวสำลัก”
“ค่า...ป้ามะลิคะ ตานขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ”
“คือว่า...ตั้งแต่ที่ตานไม่อยู่ แม่เคยติดต่อมาบ้างไหมคะ”
“ไม่เลยค่ะ ตั้งแต่ที่ก้าวขาออกจากบ้านไป ก็ไม่เคยติดต่อมาเลย”
“เหรอคะ หวังว่าแม่จะสบายดีนะคะ”
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยค่ะคุณหนู ป้าไม่อยากให้คุณหนูเสียใจอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตานโตแล้ว ตานรู้สึกเฉย ๆ กับเรื่องนี้ไปแล้ว แค่อยากรู้ว่าแม่ติดต่อมาบ้างไหมเท่านั้นเอง”
“ไม่ค่ะ ไม่เคยติดต่อมา และคงไม่คิดจะติดต่อมาด้วยล่ะมั้งคะ”
บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวจากที่ดูมีความสุขเมื่อสักครู่ กลับกลายเป็นบรรยากาศที่ดูจริงจังและน่าอึดอัด ตานจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที
“น้องพิกุลสบายดีไหมคะป้ามะลิ”
“สบายดีค่ะ”
“แล้ว...น้องพิกุลได้ลูกผู้หญิงหรือผู้ชายคะ”
“ผู้หญิงค่ะ น่ารักน่าชังมากเลย ป้าอยากให้คุณหนูได้อุ้มแกมาก ๆ”
“ตานก็อยากอุ้มหลานเหมือนกันแต่ขอให้ตานพร้อมก่อนนะคะ ตานถึงจะกลับบ้าน”
“ค่ะคุณหนู เอาที่คุณหนูสะดวกเลย ว่าแต่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ดีนะคะ โรงเรียนเปลี่ยนไปเยอะเลย แต่เด็ก ๆ ที่นี่ซนมาก โดดเรียนก็บ่อย ไม่เหมือนที่ชนบทที่เขาดั้นด้นอยากเรียนกันจริง ๆ”
“โรงเรียนเอกชนที่มีทุกอย่างพร้อมก็แบบนี้แหละค่ะ บางทีสะดวกสบายเกินไปก็ไม่ดี”
“นั่นสิคะ”
“แล้วตอนเย็นป้าเห็นเด็กนักเรียนปั่นจักรยานออกจากบ้านคุณหนูด้วย เข้ากันกับนักเรียนได้เร็วจังเลยนะคะ”
“ป้าเห็นเขาด้วยเหรอคะ”
“เห็นค่ะ ขับรถสวนกันพอดี แต่ป้ารู้สึกคุ้นหน้าแกยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่ก็คิดไม่ออก”
“เดี๋ยวตานมานะคะ”
เมื่อพูดจบ ตานจึงลุกเดินหายเข้าไปในห้องนอน สักพักเธอก็เดินออกมาพร้อมกับสมุดวาดภาพในมือ ก่อนจะเปิดมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว
“จะไม่คุ้นได้ยังไงคะ ป้าว่าเหมือนเด็กคนนี้ไหมคะ หรือตานคิดไปเอง”
“ตายจริง! นี่มันคนเดียวกันเลยล่ะค่ะคุณหนู แล้วสรุปว่าแกเป็นใครคะ รู้จักแกหรือเปล่า”
“เขาเป็นเด็กนักเรียนห้องที่ตานเป็นครูประจำชั้นค่ะป้ามะลิ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครมาจากไหน”
“มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ เลยค่ะ ที่คุณหนูกับเด็กคนนี้จะได้มาเป็นครูกับลูกศิษย์กัน แถมยังเคยฝันถึงมาก่อนด้วย”
“ตานรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“แปลกยังไงคะ”
“ตอนนี้ตานก็ยังไม่แน่ใจค่ะ ไว้ให้ทุกอย่างมันชัดเจนกว่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวตานจะเล่าให้ฟัง ไม่อยากคิดไปเองน่ะค่ะ”
“ได้ค่ะ เอาที่คุณหนูสะดวกเลย”
กริ๊ง! กริ๊ง!
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันถึงเด็กในภาพวาดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าก็ดังขึ้น มะลิจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรายชื่อคนที่โทรเข้ามาทันที
“น้องพิกุลต้องโทรตามป้ามะลิแล้วแน่ ๆ เลย”
“เดาถูกเผงเลยค่ะ ป้าขอตัวไปรับโทรศัพท์ข้างนอกนะคะ”
“ตานว่าป้ามะลิกลับเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวพวกนี้ตานเก็บไปล้างเอง”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่ว่าเลยค่ะ ตานทำเองได้ค่ะ ป้ากลับเถอะ นี่ก็ค่ำแล้วด้วย”
กริ๊ง! กริ๊ง!
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ป้าขอตัวกลับก่อนนะคะคุณหนู ไว้วันหลังป้าจะมาทำกับข้าวให้ทานอีกนะคะ”
“ค่ะ รีบรับโทรศัพท์แล้วก็รีบกลับนะคะ มีคนรออยู่ แล้วก็ขับรถดี ๆ ค่ะป้ามะลิ”
“ขอบคุณค่ะ ป้ากลับแล้วนะคะ”
ตานเดินเข้าไปสวมกอดคนเป็นแม่เลี้ยง ก่อนที่จะได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นตอบกลับมา เสียงโทรศัพท์ก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง และเงียบหายไปพร้อมกับเจ้าของเครื่องที่เดินออกจากบ้าน


“แม่”
“หืม”
“การที่หัวใจคนเราเต้นแรงนี่ มันเกิดจากอะไรได้บ้างเหรอ”
นัทถามพลางกับใช้ช้อนส้อมเขี่ยข้าวในจานไปมา คนเป็นแม่กำลังจะเก็บจานชามเซรามิคที่กินเสร็จแล้วมาวางซ้อนกันด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะมองหน้าลูกสาวที่มีท่าทางเหมือนกำลังสับสนกับอะไรบางอย่าง
“กินกาแฟ เหนื่อย ตื่นเต้น”
“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้สิ ไม่ได้กินกาแฟ”
“ทำไม นัทเป็นอะไร”
“ไม่รู้สิ นัทอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”
“ไหน อาการมันเป็นยังไง”
“นัทเจอคนคนหนึ่ง แล้วเวลาอยู่ใกล้เขาทีไร หัวใจมันเต้นแรงมากแม่”
“ใคร”
“ไม่บอก”
“เหอะ! มาปรึกษาแม่แต่ไม่ยอมบอกว่าใคร แบบนี้แม่ควรให้คำปรึกษาดีไหมเนี่ย”
“ถ้าแม่ไม่ให้คำปรึกษา นัทไปถามปรางเองก็ได้”
เมื่อคนเป็นแม่เห็นท่าทีของลูกสาวที่เอาแต่นั่งจ้องเม็ดข้าวในจานและเขี่ยไปมาไม่หยุด เธอจึงนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วสำรวจพฤติกรรมของลูกสาวแบบไม่ละสายตา
“หยุดเขี่ยข้าวเล่นได้แล้ว อยากรู้อะไรถามมา”
“ไม่รู้อะแม่ นัทไม่รู้จะถามแม่ยังไงดี นัทเป็นอะไรยังไม่รู้เลย”
“เล่าให้แม่ฟังซิ ว่าอาการมันเป็นยังไง”
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ เวลานัทได้อยู่ใกล้เขาแล้วใจมันเต้นแรง นัทอยากเจอเขาอีก”
“โดนของหรือไง”
“บ้าเหรอแม่”
“ฮ่า ๆ ชอบเขาล่ะสิ”
“ชอบ? อาการแบบนี้เหรอ ที่เขาเรียกว่าชอบ”
“อ่อนหัดจริงลูกฉัน สมองคงกระทบกระเทือนจนเพิ่งจะเริ่มรู้สึกชอบใครเป็นหรือไง”
“แม่เอาดี ๆ อย่ากวน นัทจริงจัง ไอ้การคิดถึงเขาตลอดเวลา อยากเจอหน้าเขา แบบนี้เรียกว่าชอบใช่ไหม”
“มันคืออาการของคนตกหลุมรัก”
“สรุปชอบหรือตกหลุมรักกันแน่ แล้วมันต่างกันยังไงอะแม่”
“ถ้าชอบ นัทจะแค่อยากเจอเขา แต่ว่าจะได้เจอหรือไม่ได้เจอก็ไม่เป็นไร ถ้าได้เจอก็ดี มันจะทำให้นัทมีความสุข”
“ถ้าตกหลุมรักล่ะ”
“นัทจะโหยหาการที่จะได้เจอเขา รู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข คิดถึงแต่เขาตลอดเวลา เขาจะกำลังทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง นอนหลับสบายไหม เป็นห่วงเขาไปซะหมด”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเหตุผลล่ะ ทำไมถึงตกหลุมรัก”
“แค่รอยยิ้มของเขา มันก็ทำให้ตกหลุมรักได้แล้วล่ะนัท บางครั้งมันก็ไม่ได้มีเหตุผลมารองรับหรอกนะ ดูพ่อกับแม่สิ ทั้ง ๆ ที่พ่อเกเรแล้วก็เป็นนักเลงด้วยซ้ำ ทำไมแม่ถึงตกหลุมรักพ่อได้ล่ะ จริงไหม”
“นั่นสิ แม่ตกหลุมรักพ่อได้ยังไง”
“พ่อหล่อ ฮ่า ๆ”
คำตอบที่ได้ยิน ทำเอาทั้งแม่และลูกต่างลั่นเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน จากที่นัทดูกระวนกระวายจนอยู่ไม่เป็นสุขเมื่อสักครู่ เธอก็เริ่มผ่อนคลายลง พลางกับมองคนเป็นแม่และนั่งอมยิ้ม
“แม่คิดถึงพ่อไหม”
“คิดถึงสิลูก ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึง”
“ความคิดถึงนี่มันก็ทรมานเหมือนกันเนอะ”
“อืม ก็ไม่หรอก แม่อยู่ได้ เพราะพ่อไปสบายแล้ว และก็เพราะแม่มีนัทด้วยนั่นแหละ มันถึงไม่ทรมาน”
“แม่เก่งเนอะ ที่อยู่กับความคิดถึงได้แบบไม่ทรมาน”
“ทำไม ตอนนี้คิดถึงเขาจนรู้สึกทรมานเลยหรือไง มันขนาดนั้นเลยเหรอนัท”
“ไม่รู้สิ นัทก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูกเหมือนกัน มันเหมือนกับว่า การได้เจอหน้าเขามันทำให้นัทดีใจแบบบอกไม่ถูก เหมือนกับว่านัทรอคนคนนี้มานานแล้ว และในที่สุดมันก็สิ้นสุดการรอคอยสักที แล้วมันก็อยากเจอหน้าเขาและคิดถึงเขาตลอดเวลาเลยอะแม่”
“หล่อไหม”
“ไม่”
“เอ้า! แล้วไปตกหลุมรักอะไรในตัวเขาล่ะ”
“แค่เห็นหน้าเขาแว๊บแรก ก็รู้สึกเลยว่าคนนี้แหละ คือคนที่นัทรอคอยการที่จะได้เจอเขามาตลอด”
“อยากเห็นหน้าจริง ๆ ว่ามีอะไรทำให้ลูกสาวแม่ตกหลุมรักได้ จะหล่อเทียบพ่อได้ไหม”
“แม่จะว่าอะไรไหม ถ้าคนคนนั้น...ไม่ใช่ผู้ชาย”
คำตอบที่ได้ยิน ทำแม่ของนัทตกใจเล็กน้อย เธอจ้องมองลูกสาวที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ แววตาที่ดูจริงจังแบบนี้ ช่างเหมือนกับพ่อจริง ๆ ราวกับถอดแบบกันออกมา
“นัทไม่ได้ล้อแม่เล่นใช่ไหม”
“นัทพูดจริง ๆ”
“อืม...ถ้านัทจะชอบผู้หญิงจริง ๆ แม่ก็คงไม่แปลกใจหรอก เพราะทุกครั้งที่ทะเลาะกับเพื่อนผู้ชายก็เพราะปกป้องปรางตลอด”
“มันผิดไหมแม่ ถ้านัทจะรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิง”
“ไม่เลยลูก ไม่ผิดเลย ลูกจะรักจะชอบใคร จะเพศไหนมันก็ไม่ผิดทั้งนั้น แม่ขอแค่นัทมีความสุขก็พอ”
“นัทชอบเขาได้ใช่ไหมแม่”
“ได้สิลูก มานี่มา”
เมื่อคนเป็นแม่อ้าแขนรอพร้อมกับรอยยิ้ม นัทจึงไม่รอช้า รีบลุกไปสวมกอดแม่ของเธอทันที มันคงเป็นช่วงเวลาที่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกำลังสับสน เพราะเธอเพิ่งจะรู้สึกแบบนี้กับใคร อ้อมกอดและกำลังใจจากคนเป็นแม่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ฝ่ามือบางลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนพร้อมกับประคองศีรษะซบลงที่หน้าอกของตน นัทหลับตาทั้งสองข้างลงรับอุ่นไอนี้พลางกับกอดร่างเอาไว้แน่น มันช่างทำให้เธออุ่นใจเหลือเกินที่คนเป็นแม่ยอมรับเธอในเรื่องนี้ได้
“แม่รับได้จริง ๆ ใช่ไหม”
“ได้ รับได้เสมอแหละ ต่อให้นัทจะเป็นยังไง นัทก็เป็นลูกแม่เหมือนเดิม”
“ขอบคุณนะแม่”


เช้าวันต่อมา
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
ซ่า~ ซ่า~
เสียงนาฬิกาปลุกดังควบคู่ไปกับเสียงรดน้ำต้นไม้ในยามเช้า พร้อมกับแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่สาดส่องผ่านผ้าม่านผืนสีขาวรับกับห้องนอนสีครีม มันอบอุ่นกำลังดี ตานค่อย ๆ เปิดผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อที่จะดูว่าใครกันที่เข้ามารดน้ำต้นไม้ให้แต่เช้าขนาดนี้
ดูเหมือนกับว่าสิ่งที่สงสัยจะเป็นจริง เพราะคนสวนจำเป็นของเธอ คือเด็กนักเรียนหน้าตาคุ้นเคยที่ยังไม่รู้จักชื่อจริงของเจ้าของบ้าน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเธอเป็นคุณครูประจำชั้นคนใหม่
“มาอะไรแต่เช้าเนี่ย”
เสียงงัวเงียร้องทักผ่านหน้าต่างที่มีมุ้งลวดป้องกันยุงและแมลงเข้ามารบกวน แต่อากาศสามารถถ่ายเทได้ดี จนภายในห้องไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมก็อยู่ได้แบบเย็นสบาย นัทจึงหันขวับเพื่อหาเจ้าของเสียงทันที
“ได้ยินแต่เสียง คนอยู่ไหนอะ”
“อยู่ในบ้านนี่แหละ”
“เปิดประตูออกมาคุยกันดี ๆ สิเจ๊”
“จะบ้าเหรอ ใครให้มาแต่เช้าขนาดนี้ รบกวนคนเขาหลับนะรู้ไหม”
“ก็ตื่นแล้วนี่ รีบไปอาบน้ำเลย ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกแล้วนะ จะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง ตื่นสายขนาดนี้ ผักที่แปลงผักก็เหี่ยวหมดพอดี”
“โอ๊ย มาบ่นอะไรแต่เช้าเนี่ย”
“เร็ว ๆ รีบไปอาบน้ำ! จะได้ไปดูแลผัก เป็นลูกมือหนูอย่าหัดเป็นคนขี้เกียจ เข้าใจไหม”
“หนอย...ไอ้เด็กบ้านี่ ฉันเป็นครูประจำชั้นของเธอนะยะ!”
ตานบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางกับมองค้อนเด็กนักเรียนที่อยู่หลังกำแพงกั้น เสียงบ่นแต่เช้าแบบนี้ช่างทำลายบรรยากาศดี ๆ ในยามเช้าเสียจริง เธอคิดในใจก่อนจะลุกไปคว้าผ้าเช็ดตัวผืนสีขาวดูสะอาดสะอ้านเพื่อที่จะไปอาบน้ำด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย


แอ๊ด…~
“เสร็จละ!”
ประตูไม้บานใหญ่ที่ถูกเปิดออกจากด้านใน วันนี้โชคดีที่นัทยืนถูกฝั่งทำให้ไม่โดนประตูชนอีก แต่เธอก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะวันนี้ว่าที่ลูกมือของเธอแต่งตัวดูดีอีกแล้ว
“เป็นคนสวน จำเป็นต้องแต่งตัวสวยขนาดนี้เลยเหรอเจ๊”
“นัท”
“ว่า”
“นี่ยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ”
“เข้าใจอะไรอะ”
“โอ๊ย! บอก ผอ. เอารางวัลคืนดีไหมเนี่ย!!”
“รางวัลอะไรอะ แล้วเจ๊รู้ได้ไง เป็นคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนะเราอะ”
“สามหาว!! เธอนี่มัน!!” ตานชูกำปั้นขึ้นมาพร้อมกับมองค้อนเล็กน้อย
'นี่เจ้าของเหรียญทองคิดได้แค่นี้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ นี่ยังไม่รู้จริง ๆ เหรอนัท ว่าที่ยืนหัวโด่อยู่นี่คือครู ไม่ใช่คนสวน!!'
“ไปโรงเรียนได้แล้ว จะได้ไปรดน้ำช่วยกัน”
“ก็ปั่นไปก่อนสิ จะมารอทำไม”
“ก็เจ๊เป็นลูกน้องอะ จะไปช้ากว่าหัวหน้าได้ไง”
“หนอย...หลายดอกแล้วนะ!!”
“ไปเร็ว!”
เมื่อพูดจบ นัทก็คว้าที่ข้อมือครูสาวจูงเดินออกจากบ้านไป โดยจอดจักรยานคันโปรดทิ้งเอาไว้ที่หน้าบ้าน
“ทำไมวันนี้ไม่ปั่นจักรยานไปด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวก็ได้จูงเดินไปพร้อมเจ๊อยู่ดี สู้เดินไปด้วยกันดีกว่า”
“อะไรของเธอเนี่ย ไม่ได้ขอให้รอเลยนะ ไม่ได้ขอให้มาเดินไปโรงเรียนเป็นเพื่อนด้วย”
“เลิกพูดมากสักทีน่า”
'มันต้องเพราะฉันคิดไปเองแน่ ๆ ว่าเธอคล้ายพี่สิบทิศ ไม่เห็นจะอ่อนโยนเหมือนพี่สิบทิศเลย แถมยังคิดน้อย คิดตื้น ๆ เฮ้อ...เธอคือใครกันแน่นะนัท ทำไมฉันต้องฝันถึงเธอด้วย หรือแค่หน้าคล้ายกันนะ'
ครูสาวคิดในใจ พลางกับเดินตามหลังนักเรียนต้อย ๆ แผ่นหลังนี้จะว่าคุ้นก็คุ้น จะว่าไม่ก็ไม่ ความรู้สึกสับสนอลหม่านในใจ ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย คนอย่างพุดตาน อยากรู้อะไรต้องได้รู้ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้และไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง


หลังจากที่เธอทั้งสองเดินมาถึงเรือนเพาะชำ นัทไม่รอช้าเดินไปเปิดสปริงเกอร์ทิ้งเอาไว้ทั้งส่วนของแปลงผักที่ปลูกใหม่ ทั้งส่วนของต้นไม้และดอกไม้ต่าง ๆ
“เจ๊ต้องมาเปิดสปริงเกอร์ไว้ทุกเช้านะ แล้วหลังเคารพธงชาติก็ค่อยปิด”
“แล้วถ้าไม่ว่างมาปิดล่ะ”
“เดี๋ยวป้าขาว ที่เป็นแม่บ้านจะมาปิดให้ แต่เจ๊ดูแลที่นี่ ก็อย่าไปรบกวนป้าขาวนะ เพราะป้าขาวต้องทำอาหารให้พวกเรานี่แหละกิน”
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง แล้วไม่ไปเคารพธงชาติหรือเข้าคาบโฮมรูมหรือไง”
“ไม่อะ ขี้เกียจ ปกติถ้าพี่ปุ๊กมาก่อน พี่เขาจะเป็นคนรดน้ำต้นไม้แทนการเปิดสปริงเกอร์ หนูก็จะไปดูแลพวกดอกไม้ บางทีมันเพลินมันเลยพาเตลิดน่ะ”
“นิสัยเสียจังนะ มีหน้าที่เรียนก็ไปเรียนสิ”
“ก็เรียนอยู่หรอกน่า”
“วันนี้ไปเข้าคาบโฮมรูมด้วยนะ เข้าใจไหม จะได้เห็นหน้าครูประจำชั้นคนใหม่สักที”
“รู้แล้ว ๆ จู้จี้จัง วันนี้ว่าจะเข้าอยู่ จะได้เอาใบขออนุญาตไปลาครูน่ะ งั้นไปลอกการบ้านก่อนนะ ฝากดูแลผักให้ดีนะเจ๊ จำไว้นะ ปิดหลังเคารพธงชาติ เดี๋ยวตอนเที่ยงแวะมาหา”
“จ้า!!”
ตานยืนกอดอกมองลูกศิษย์ของเธอวิ่งหายไปจนลับตา ดูท่าว่าวันนี้จะได้ทำโทษเด็กแต่เช้าเสียแล้ว
'ยัยเด็กบ้า!! ลอกการบ้านอีกแล้วนะ คาบโฮมรูมเจอกัน!!'
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“คนสวนอะไรแต่งตัวสวยมาทำงาน นัทโว้ยยยยย คาบโฮมรูมเจอแน่!! 55555”