แก้ปมรักคุณพี่เลี้ยง (เร็ว ๆ นี้ที่ readAwrite)

แก้ปมรักคุณพี่เลี้ยง (เร็ว ๆ นี้ที่ readAwrite)
ตอนที่ 4 คำตอบ

ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
เสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือทำแก้วตาสะดุ้งโหยงตื่นจากห้วงนิทราในทันที เธองัวเงียลุกขึ้นมาปิดเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เพื่อประมวลภาพและเรียกสติตัวเองให้กลับมา

"แก้วตาเธอชอบฉันหรือเปล่า…"
"ฉันจะชอบพี่ได้ยังไง ในเมื่อพี่รังเกียจฉัน" 

'เรื่องเมื่อคืน ทำฉันร้องไห้จนหลับไปที่โซฟาเลยเหรอเนี่ย ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน ทำไมรู้สึกเหมือนอกหักเลยนะ แต่มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ในเมื่อฉันไม่ได้คิดเกินเลยกับพี่น้ำริน…'
แก้วตายังคงสับสน และเฝ้าแต่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อพี่เลี้ยงสาวนั้น มันมากกว่าความเป็นพี่น้อง อาจจะเพราะเธอใส่ใจอีกฝ่ายมากเกินไป จนทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีเมินเฉยต่อเธอกระมัง
"ฮัดชิ้ว!!"
'ฉันต้องป่วยแน่ ๆ ก็นอนหนาวที่โซฟาทั้งคืน แถมยังร้องไห้จนตาบวมอีก...เกลียดตัวเองชะมัด' แก้วตาพยายามพยุงตัวเองเพื่อที่จะลุกไปอาบน้ำ แต่เธอกลับหน้ามืดล้มลงไปที่โซฟาอีกครั้ง
"ไม่ได้นะ ยังทดลองงานไม่ผ่านเลย จะขาดงานไม่ได้"
หญิงสาวพยายามตะเกียกตะกายเพื่อที่จะลุกอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนเธอได้แต่นอนร้องไห้อยู่อย่างนั้น เธอพยายามควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อที่จะโทรศัพท์ไปแจ้งหัวหน้าว่าเธอไม่สามารถไปทำงานในวันนี้ได้จริง ๆ แต่ทว่า...
"ปวดหัวชะมัด ตาก็ลายด้วย" ปากบ่นไป มือก็พยายามเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ไป ก่อนที่จะกดโทรออกในสภาพที่สติไม่เต็มร้อยนัก
"ฮัลโหล" ปลายสายพูด
"พี่ชะเอมคะ หนูแก้วตาเองนะคะ คือวันนี้หนูป่วย หนูไปทำงานไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ ฮึก ๆ หนูพยายามลุกแล้ว ฮึก ๆ แต่หนูลุกไม่ขึ้นเลย"
"เดี๋ยว...ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูด นี่ป่วยหนักเลยใช่ไหมเนี่ย ฮัลโหล...ฮัลโหลแก้วตา โอเคหรือเปล่า แก้วตา..." ยังไม่ทันที่ปลายสายจะพูดได้จบประโยค แก้วตาก็ผล็อยหลับไปเสียก่อน เป็นเพราะฤทธิ์ไข้ บวกกับที่เธอร้องไห้หนักในคืนก่อน ส่งผลให้เธออ่อนเพลียเสียจนไม่มีสติ

ทางด้านหนึ่งของปลายสาย…
'ให้ตายเถอะ! คงหนักมากแน่ ถึงขั้นโทรผิดมาหาฉัน ทำไมเธอถึงชอบทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยนะแก้วตา!'
"อ้าวน้ำรินลูก จะไปไหน วันนี้วันอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ?"
"แก้วตาไม่สบายค่ะ" หญิงสาวตอบคนเป็นแม่จบก็รีบวิ่งออกไปที่รถทันที จนคนอื่น ๆ ได้แต่มองตามด้วยความงุนงง
"แก้วตาคือใคร แฟนรินเหรอ?" คนเป็นแม่หันมาถามลูกสาวอีก 2 คนด้วยสีหน้าฉงน
"ยังไม่ถึงขั้นแฟนหรอกค่ะ แต่อนาคตหนูว่าก็ไม่แน่" น้ำหวานตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะตักข้าวต้มคำโตเข้าปากโดยที่เธอไม่ได้เป่าเสียด้วยซ้ำ
"อ๊ะ! ร้อน!!"
"ก็ร้อนสิ เพิ่งตักจากหม้อเลยนะ"
"ฮือฟ้า...เค้าร้อนอ่า" น้ำหวานทำท่าออดอ้อนผู้เป็นพี่
"ดูอ้อนเข้า แม่ดูสิ มันน่ามันเขี้ยวจริง ๆ แล้วเมื่อคืนไปนอนกับน้ำรินเหรอ ตื่นมาไม่เจอเลย"
"ใช่ ยัยน้องว้าวุ่นใจเรื่องสาวน่ะ เลยได้ไปนอนเป็นเพื่อน" น้ำหวานตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปอ้อนผู้เป็นพี่และแม่ของเธออีกครั้ง


ภายในห้องที่เงียบสงัดของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง มีเพียงแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่ กับเสียงฝีเท้าที่ลงส้นไม่หนักมากนัก หญิงสาวร่างสูงโปร่งเจ้าของผมสีน้ำตาลเดินถือชามใส่น้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กมานั่งลงข้างโซฟา ซึ่งยังมีร่างหญิงสาวตัวเล็กนอนหลับอยู่อย่างไม่ได้สติ เธอยังสวมชุดทำงานชุดเดิม จึงทำให้คนที่มองอยู่เข้าใจได้ทันทีว่าเจ้าตัวคงจะหลับที่โซฟาตั้งแต่คืนก่อนเป็นแน่
"ขอโทษนะ ที่ฉันทิ้งให้เธอต้องนอนอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ฉันผิดเอง..." หญิงสาวบรรจงเช็ดตัวให้กับคนป่วยอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าคนที่นอนอยู่จะรู้สึกตัวตื่น จากนั้นเธอค่อย ๆ ปลดกระดุมทีละเม็ดอย่างช้า ๆ  ทำให้เห็นเนินอกอวบอิ่มที่ปกคลุมด้วยบลาตัวเก่ง 
'ฉันอยากสัมผัสเธอมากกว่านี้จัง...ฉันพยายามห้ามใจตัวเองแค่ไหนเธอรู้หรือเปล่าแก้วตา' ทว่าการกระทำก็หยุดชะงักเพียงเท่านั้น เธอสะบัดหัวไปมาเพื่อคุมสติตัวเอง ก่อนที่จะค่อย ๆ เช็ดตัวให้กับแก้วตาอีกครั้ง และเธอไม่ลืมที่จะเดินไปหาชุดที่คิดว่าแก้วตาใส่แล้วจะสบายที่สุดมาเปลี่ยนให้ ก่อนที่จะเอื้อมมือลูบผมสีดำขลับอย่างแผ่วเบา
"ฉันจะอุ้มเธอไปนอนที่เตียงนะ จะได้นอนสบายกว่านี้" น้ำรินกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาวที่หลับสนิทราวกับเจ้าหญิงนิทรา ก่อนที่เธอจะใช้แขนช้อนร่างคนป่วยแล้วอุ้มไปวางลงที่เตียงอย่างทะนุถนอมและนำผ้ามาห่มให้ความอบอุ่น
"ตัวหนักเหมือนกันนะเนี่ย ตัวเล็กนิดเดียว แต่ดื้อชะมัด"
'ฉันอยากนอนกอดเธอจัง อยากให้เธอได้รับไออุ่นจากตัวฉัน ถ้าเธอคิดเหมือนฉันก็คงจะดีนะ…' น้ำรินบรรจงลูบผมสีดำขลับอีกครั้งพลางกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนทำให้เธอผล็อยอยู่ที่ข้างเตียง

"แก้วตา...ฉันรักเธอนะ แล้วเธอล่ะ รักฉันไหม"
"ตาก็รักพี่ค่ะ"
"ฉันจูบเธอได้ไหม" น้ำรินถามก่อนที่จะโน้มตัวลงมาใกล้ ๆ เธอ ใกล้ขึ้น...ใกล้ขึ้น…

"เฮ้ย!!! ฝ...ฝันหรอกเหรอ!" แก้วตาสะดุ้งเฮือกตื่นจากห้วงความฝันที่ดูหวานชื่น แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเธอคิดว่าคนที่เธอรู้สึกด้วยนั้นรังเกียจเธอจนไม่ยอมให้แตะเนื้อต้องตัวกันเลยด้วยซ้ำ
'เอ๋ แล้วฉันมานอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่' เธอคิดในใจก่อนที่จะหันไปพบกับสาวสวยที่กำลังนั่งมองเธออยู่ที่ข้างเตียง ทำเอาแก้วตาเบิกตากว้างด้วยความตกใจและพยายามเรียกสติอีกครั้งก่อนจะรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงของเธอคือน้ำรินตัวเป็น ๆ ไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด
"เฮ้ย! พี่น้ำริน เข้ามาได้ไงอะ!!?"
"ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนนะ จะได้กินยา" พี่เลี้ยงสาวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับยื่นมือมาแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ
"ตัวยังร้อนอยู่เลย กินข้าวกินยาซะนะ จะได้ดีขึ้น"
"พี่ยังไม่ตอบตาเลยนะคะ ว่าพี่เข้ามาได้ยังไง แล้วทำไมพี่ไม่ไปทำงาน คนจริงจังกับงานแบบพี่ไม่น่าลางานมาเฝ้าไข้ตาได้นะ"
'ใช่...คนอย่างพี่ ไม่น่าเสียการเสียงานมาดูแลฉันหรอก' แก้วตาบ่นในใจด้วยความว้าวุ่น
"นี่มันวันอาทิตย์ ทำไมฉันต้องไปทำงานด้วย และที่สำคัญ เธอเองนั่นแหละที่โทรหาฉัน บอกว่าป่วยจนลุกไม่ไหว ก็ต้องมาดูสิ"
"เดี๋ยวนะคะ นี่วันอาทิตย์เหรอ แต่ตาโทรหาพี่ชะเอมนะ ไม่ได้โทรหาพี่"
"ผิดหวังเหรอ ที่เป็นฉัน" จู่ ๆ น้ำเสียงของพี่เลี้ยงสาวก็ดูเย็นชาเสียอย่างนั้น แก้วตาจึงรีบคลานหาโทรศัพท์มือถือเพิ่งที่จะดูประวัติการโทรออก
'นั่นสินะ เธอก็แค่โทรผิดมาหาฉัน เธอจะดีใจได้ยังไงที่ฉันอยู่ที่นี่' น้ำรินคิดในใจ
"ตายล่ะ นี่ตาเผลอกดโทรหาพี่จริง ๆ ด้วย ขอโทษนะคะที่รบกวนวันหยุด ตาตั้งใจจะโทรหาพี่ชะเอมจริง ๆ"
'รู้แล้วล่ะน่า เธอเลิกย้ำสักทีได้ไหม ว่าเธอไม่ได้ต้องการฉัน' น้ำรินคิดในใจอีกครั้ง
"ช่างเถอะ ลุกมากินข้าวกินยาได้แล้ว ฉันจะได้กลับ"
'ถ้ามันลำบากใจนักที่ต้องมาดูแลฉัน พี่ก็กลับเถอะ' แก้วตาค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง เพราะยังมีอาการมึนหัวนิด ๆ ก่อนจะสำรวจดูร่างกายของตัวเองและคิดได้ว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่ชุดนี้ แต่มันถูกเปลี่ยนด้วยชุดที่ใส่นอนได้อย่างสบาย
"พี่เปลี่ยนชุดให้ตาเหรอคะ"
"อืม ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอตอนหลับหรอกนะ"
"ถึงจะน่าอายก็เถอะ แต่ก็ขอบคุณนะคะ"
"อืม จะกินข้าวเลยไหม?" ดูเหมือนชามข้าวต้มจะถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงตั้งแต่แรก ซึ่งเดาได้ว่าตอนนี้มันคงเย็นหมดแล้ว 
"กินเลย...ก็ได้ค่ะ"
"ต้องป้อนไหม?"
"ม...ไม่ค่ะ ตากินเองได้"
"อืม รีบกินซะ จะได้กินยา" 
แก้วตารีบเอื้อมมือไปคว้าชามข้าวต้ม ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะมันยังคงอุ่นอยู่ ไม่ได้เย็นอย่างที่เธอเข้าใจ เธอจึงค่อย ๆ ตักข้าวต้มกินทีละคำ อย่างช้า ๆ
"อร่อยจัง ซื้อจากที่ไหนเหรอคะ"
"ฉันทำเอง"
"ฮะ! อะ แค่ก ๆ" ทันทีที่แก้วตาได้ยินคำตอบเธอถึงกับสำลัก
'คนคนนี้ทำไมถึงดูซับซ้อนแบบนี้นะ ทั้ง ๆ ที่ดูลำบากที่ต้องมาดูแลฉันแท้ ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำข้าวต้มให้กินอีก พี่คิดอะไรอยู่ บอกฉันได้ไหม'
"ค่อย ๆ กินสิ ยังมีที่หม้ออีก หิวก็อุ่นกินได้ วันนี้ก็ไม่ต้องออกไปไหน นอนพักผ่อนเยอะ ๆ พรุ่งนี้จะได้ไปทำงานได้"
'อืม คงห่วงแค่เรื่องงานสินะ'
"อิ่มแล้วค่ะ"
"นี่ยา กินแล้วก็นอนพักซะ"
"ขอบคุณค่ะ"

หลังจากที่แก้วตากินข้าวกินยาเสร็จเรียบร้อย เธอจึงนอนพักผ่อนตามคำสั่งของพี่เลี้ยงสาวอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวหลับสนิทแล้ว น้ำรินจึงเก็บชามที่รุ่นน้องกินเสร็จแล้ว และถึงเวลาที่เธอต้องกินข้าวเช้าบ้าง

เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ตอนเย็น แก้วตางัวเงียตื่นขึ้นมาก็ไม่พบกับร่างใครสักคนข้างกาย เธอรู้สึกเสียใจที่ตื่นมาแล้วไม่พบน้ำริน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรหวัง แต่เธอก็แอบหวังในใจลึก ๆ ไม่นานน้ำตาเจ้ากรรมก็เริ่มรินไหลผ่านแก้มเนียนของเธอช้า ๆ
"แก้วตา! ร้องไห้ทำไม ปวดหัวเหรอ เป็นยังไงบ้าง!?" น้ำรินที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นคนป่วยกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง ทำเอาเธอตกใจไม่น้อยแล้วรีบโผเข้าหารุ่นน้องทันที
"ฮึก ๆ พี่ยังไม่กลับเหรอคะ"
"ก็ถ้าเธอยังไม่ดีขึ้น ฉันจะกลับได้ยังไง" ความดีใจปนกับความอุ่นใจแปลก ๆ ทำให้แก้วตาลืมกฎที่พี่เลี้ยวสาวตั้งเอาไว้ เธอโผเข้ากอดน้ำรินและปล่อยโฮออกมา แต่ผู้ที่ถูกกอดก็ไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด น้ำรินกลับค่อย ๆ กอดตอบและลูบผมแก้วตาอย่างอ่อนโยน
"เธอนี่ป่วยแล้วอ่อนไหวง่ายชะมัด เลิกร้องได้แล้ว"
"ขอบคุณนะคะพี่น้ำริน ฮึก ๆ" 
ทั้งสองโอบกอดกันและกันอยู่นาน นี่เป็นสิ่งที่น้ำรินโหยหาและอยากทำกับแก้วตามาโดยตลอด เธอได้กอดปลอบใจคนที่เธอรัก และมอบไออุ่นให้แก้วตาจากการกอดโดยที่ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ เพิ่มเติมก็รู้สึกดีแล้ว
ในขณะที่เวลายังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า จู่ ๆ สติของแก้วตาก็คืนกลับมา ทำให้เธอคิดถึงกฎเหล็กของพี่เลี้ยงสาวเธอจึงรีบผละออกจากอ้อมกอดด้วยความตกใจ
"อ๊ะ! ขอโทษค่ะ ตาลืมตัว ขอโทษที่ทำแบบนี้นะคะ" เธอผละออกด้วยความรู้สึกเสียดายและความรู้สึกผิดที่ลืมคิดถึงกฎของอีกฝ่าย แต่น้ำรินกลับดึงเธอเข้ามากอดอีกครั้งพร้อมกับค่อย ๆ ซบหน้าลงที่ไหล่เอาไว้
"ขอฉัน...อยู่แบบนี้ สักพัก จะได้ไหม…"
"ค่ะ นานแค่ไหนก็ได้" แก้วตากอดตอบและลูบที่หลังของน้ำรินอย่างแผ่วเบา เหมือนทั้งสองพยายามที่จะสื่อสารความในใจออกมาผ่านการกระทำ แม้จะไม่แน่ใจว่า...มันจะสื่อถึงอีกฝ่ายหรือไม่


เวลาผ่านไปนานเพียงใดทั้งสองไม่อาจทราบได้ ตอนนี้สมองของทั้งคู่ว่างเปล่า มีเพียงความรู้สึกกับคนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่มันอยากจะสื่อสารออกไปให้อีกฝ่ายได้รู้ถึงความรู้สึกจริง ๆ ที่แทบจะล้นออกมาอยู่แล้ว เพราะไออุ่นจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย ความคิดที่ตีรวนสวนทางกันที่แก้วตาเอาแต่ปฏิเสธหัวใจตัวเองมาตลอดก็เริ่มที่จะชัดเจนขึ้น
'ฉันชอบพี่...ใช่...ความรู้สึกนี้ ฉันจะไม่หนีมันอีกแล้ว'
ในขณะที่ความรู้สึกของแก้วตาเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ดูเหมือนว่าพี่เลี้ยงสาวจะนำหน้าเธอไปไกลมากแล้ว น้ำรินค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือประคองที่ใบหน้าของแก้วตาอย่างอ่อนโยน นิ้วโป้งเคลื่อนไปสัมผัสที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะไล้ไปจนทั่วริมฝีปากราวกับบอกเป็นนัยว่าเธออยากสัมผัสมันมากเหลือเกิน
ระยะห่างของทั้งสองเริ่มลดเหลือน้อยลงทุกที ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันเหลือเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ดวงตาของทั้งคู่จับจ้องประสานกัน เพื่อที่จะส่งความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้รู้ผ่านแววตา
มือข้างหนึ่งของแก้วตาค่อย ๆ เอื้อมประคองที่ใบหน้าของพี่เลี้ยงสาวอย่างอัตโนมัติราวกับถูกสะกด จนริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกันในที่สุด น้ำรินสัมผัสได้ถึงลมหายใจ และความร้อนผ่าวจากฤทธิ์ไข้ของคนป่วยผ่านปากอวบอิ่ม มือของน้ำรินก็เริ่มเลื่อนมาคล้องที่ท้ายทอยของแก้วตาพร้อมกับดึงและกดริมฝีปากให้ประกบกันแนบแน่นขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มเปิดปากแล้วเริ่มดูดดื่มความหอมหวานจากริมฝีบอกของกันและกันอย่างช้า ๆ และอ่อนโยน
'นี่ฉันจูบกับพี่น้ำรินแล้วอย่างนั้นเหรอ...แต่ฉันไม่สบายอยู่นี่นา พี่น้ำรินจะติดหวัดจากฉันนะ!' ทันทีที่เรียกสติได้ แก้วตาจึงรีบผละออกในทันที

"เธอมันน่าขยะแขยง เธอมันคนใจง่าย!" 
เพราะการที่รุ่นน้องสาวผละออกขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น ทำให้คำพูดที่เคยทำร้ายน้ำรินในอดีตผุดขึ้นมาอีกครั้ง เธอจึงเขยิบถอยออกมาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันระวังว่าตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนเตียง ทำให้เธอล้มพับลงไปกับพื้น
"ก...แก้วตา...เมื่อกี้..." น้ำรินช็อกกับภาพที่ผุดขึ้น กลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยอีกครั้ง กลัวว่าผู้หญิงที่เธอรัก...จะรังเกียจเธอ น้ำตาเจ้ากรรมก็เริ่มรินไหลออกมา ทำให้แก้วตาตกใจอย่างมาก
"พี่น้ำรินคะ ตาขอโทษ ขอโทษที่ล้ำเส้นมากเกินไป" แก้วตาลุกขึ้นเพื่อที่จะไปประคองพี่เลี้ยงสาว แต่ทว่า...
เพี้ยะ!
"อย่ามาใกล้ฉัน!" จู่ ๆ น้ำรินก็ปัดมือของแก้วตาอย่างแรง จนทำให้ต่างฝ่ายต่างชะงักเพียงเท่านั้น
"พี่น้ำริน…"
"เธอเกลียดฉันแล้วใช่ไหมแก้วตา...ฉันทำให้เธอรังเกียจใช่ไหม" น้ำตาไหลอาบแก้มของน้ำรินไม่หยุด ความเจ็บปวดในอดีต กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ทำให้เธอสับสนจนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว
"ไม่เลย ตาไม่เคยเกลียดพี่ ตาไม่เคยรังเกียจพี่ด้วย"
"เธอคิดยังไงกับฉัน บอกฉันได้ไหม"
"ตาชอบพี่…"
'ในที่สุด ฉันก็ได้พูดมันออกไปสักที คำตอบที่ฉันตามหามาตลอด คือสิ่งที่ฉันพยายามหนีมันมาตลอดเช่นกัน หลังจากนี้จะเป็นยังไงก็ช่างมัน ขอแค่วันนี้...ตอนนี้....ฉันได้มีความสุขกับคนคนนี้ก็พอแล้ว'
คำตอบที่แก้วตาพูดออกมา ทำให้น้ำรินร้องไห้โฮอีกครั้ง เธอแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ว่าแก้วตาก็คิดเหมือนกันกับเธอ แก้วตาย่อตัวนั่งลงเคียงข้างพี่เลี้ยงสาวและเป็นฝ่ายดึงคนร่างสูงเข้ามาสวมกอดบ้าง
"เธอไม่เกลียดฉันจริง ๆ เหรอแก้วตา ฮึก ๆ"
"ไม่เคยคิดที่จะเกลียดพี่เลยค่ะ ตาชอบพี่นะคะ ได้ยินไหม แล้วพี่ล่ะ คิดยังไงกับตาคะ ที่ตาทำลายกฎของพี่ พี่เกลียดตาหรือเปล่า"
"ฉันรักเธอ...รักมาตลอด" คำว่ารักที่ได้ยินจากปากของอีกฝ่าย เป็นความรู้สึกที่ดีจนไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายได้ ทั้งสองโอบกอดกันแน่นขึ้น ราวกับว่ากลัวจะต้องพรากจากกัน


หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว ทั้งสองนั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน บรรยากาศเงียบสงัด แต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ภายในใจรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะว่าในที่สุดก็ได้รู้ความรู้สึกของกันและกันเสียที
"พี่น้ำรินคะ ตาขออาบน้ำได้ไหม"
"ไม่ได้ ยิ่งไม่สบายอยู่จะอาบน้ำได้ยังไง แค่เช็ดตัวก็พอแล้ว"
"แต่ตาอาบน้ำแล้วจะสบายตัวกว่านี่นา นะคะ"
"ไม่…"
"นะคะพี่น้ำริน…" เธอพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางออดอ้อน
"เฮ้อ...เธอนี่มันดื้อจริง ๆ ก็ได้ เดี๋ยวจะอยู่เฝ้าเอง มีอะไรก็เรียกได้เลยนะ"
"เย่!! พี่น้ำรินน่ารักที่สุดเลย" แก้วตาลุกขึ้นไปเลือกเสื้อผ้าผืนใหม่ที่ตู้เสื้อผ้าและวิ่งเข้าห้องน้ำด้วยท่าทีกระดี๊กระด๊าราวกับว่าอาการป่วยหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างไรอย่างนั้น
"เธอมันดื้อ…" แม้ปากจะบ่นพร้อมกับส่ายหน้าในความดื้อของผู้เป็นน้อง แต่มันก็เพราะความเอ็นดูที่เธอเองก็ต้องจำนนในที่สุด
'สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับสายตาอ้อนวอนราวกับลูกแมวดื้อ ๆ ตัวหนึ่งนั่นแหละนะน้ำริน...'

เวลาผ่านไปไม่นานนัก หญิงสาวจอมดื้อก็เดินออกจากห้องน้ำด้วยท่าทีที่สดชื่น มือข้างหนึ่งกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำอย่างเบามือ ทำเอาน้ำรินถึงกับคิ้วกระตุก เธอนี่มันดื้อเสียจริง!
"ทำไมสระผมล่ะ นี่ไม่สบายอยู่นะ ทำไมดื้อแบบนี้!"
"ก็มันสบายตัวนี่นา ไม่ต้องห่วงค่ะพรุ่งนี้ตาไปทำงานได้แน่นอน"
"มานี่สิ" แม้ปากจะเอ่ยดุไปแล้วเมื่อสักครู่ แต่เธอก็ใช้มือตบที่เบาะข้างเบา ๆ เป็นการเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเธอ ซึ่งแก้วตาก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ อย่างว่าง่าย ราวลูกแมวเชื่อง ๆ ทั้งที่ก่อนหน้าเธอดื้อเสียจนพี่เลี้ยวสาวแทบกุมขมับ 
น้ำรินเอื้อมมือจับที่บ่าและบังคับร่างบางให้หันหลัง ก่อนที่จะจับที่ผ้าขนหนูเพื่อเช็ดผมให้รุ่นน้องอย่างอ่อนโยน
"ขอบคุณนะคะ ว่าแต่พี่น้ำรินขึ้นมาได้ยังไงคะ ที่นี่ต้องใช้คีย์การ์ดไม่ใช่เหรอ"
"เธอรู้ไหมว่าฉันลำบากแค่ไหนกว่าจะขึ้นมาได้ ขอร้องลุง รปภ. เท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ยังดีที่พนักงานจำฉันได้ ที่ฉันมาส่งเธอเมื่อคืน พอบอกว่าเธอไม่สบาย เขาเลยพาฉันขึ้นมา"
"ดูทุลักทุเลจังเลยนะคะ พี่เป็นห่วงตาขนาดนั้นเลยเหรอ"
"เปล่า ฉันแค่กลัวว่าเธอจะไปทำงานไม่ได้"
"ปากแข็ง" แก้วตาแอบอมยิ้มในขณะที่นั่งหันหลัง เพราะรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายห่วงเธอมากเพียงใด
"ก็พิสูจน์ให้ดูแล้วนี่ ปากฉันแข็งอย่างที่เธอพูดหรือเปล่าล่ะ" น้ำรินพูดประโยคนี้อย่างหน้าตาเฉย มือทั้งสองข้างก็ยังคงเช็ดผมอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ที่ได้ยินคำตอบนี่สิ เธอถึงกับหน้าร้อนผ่าวจนขึ้นสี หัวใจของเธอก็เต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะ
'อย่าเต้นดังกว่านี้เลยนะหัวใจ ฉันกลัวพี่น้ำรินจะได้ยิน…'
สักพักหนึ่ง แก้วตาสัมผัสได้ว่าคนด้านหลังหยุดเช็ดผมให้กับเธอแล้ว และรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเขยิบตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น ก่อนที่จะสอดมือทั้งสองข้างคล้องมาผสานกันที่หน้าท้องแล้วเอาคางมาเกยที่บ่าเอาไว้ แก้วตาจึงอมยิ้มออกมาอีกครั้งพร้อมกับโอบแขนทั้งสองข้างเอาไว้
"ที่ฉันจูบเธอ...เธอโกรธฉันไหม"
"ไม่ค่ะ ไม่โกรธเลย"
"แล้วทำไมเธอถึงผลักฉันออก" 
"ก็ตากลัวพี่จะติดหวัดนี่นา"
"ฉันไม่ติดหวัดง่าย ๆ หรอก" น้ำรินไม่ว่าเปล่า เธอใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของรุ่นน้องให้หันมาทางเธอ ก่อนที่จะโน้มตัวเข้าไปประทับริมฝีปากเข้าด้วยกันอีกครั้ง ทั้งคู่รู้สึกถึงความอุ่นจากลมหายใจของกันและกันก่อนที่จะหลับตาเคลิบเคลิ้ม และเปิดปากรับกันอย่างหวานชื่น กลิ่นหอมจากยาสีฟัน ไออุ่นจากริมฝีปาก ลิ้นที่ตวัดรัดกันเป็นจังหวะช้า ๆ ทำให้น้ำรินแทบไม่อยากจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้
"เราคบกันได้ไหมแก้วตา" เธอถอนริมฝีปากออก ก่อนที่จะเปล่งเสียงพูดออกมาซึ่งมันแผ่วเบาเสียจนเกือบฟังไม่ถนัด โชคดีนักที่ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ทำให้แก้วตาได้ยินเสียงที่เธอพูดอยู่บ้าง
"มันไม่เร็วเกินไปเหรอคะ ขอเวลาตาสักพักได้ไหม"
"..."
"ขอให้ตาได้มั่นใจกับความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้ก่อนนะคะพี่น้ำริน"
"ตอนนี้เธอยังไม่มั่นใจเหรอ"
"ตาก็ชอบพี่นะคะ แต่ว่า…" เธอยังคงลังเลกับคำตอบจึงชะงักอยู่เพียงแค่นั้น
"ไม่เป็นไร ฉันจะรอจนกว่าเธอจะพร้อม และมั่นใจ ฉันรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง จะให้ยอมรับเลยก็คงยาก"
"ตาไม่ได้รังเกียจพี่เลยนะคะ ตารู้สึกดีมากกว่าที่ได้รับรู้ความรู้สึกของพี่ ตลอดเวลาที่ตาคิดว่าจะเอาชนะใจพี่ที่เมินเฉย ตาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังล้ำเส้นความรู้สึกของตัวเอง จนคิดเกินเลย และเอาแต่คิดถึงพี่ตลอดเวลา แต่เวลาสั้น ๆ แค่นี้ มันก็ตัดสินไม่ได้ว่า ความจริงแล้วตาหลงใหลในความสวยของพี่ หรือตารู้สึกกับพี่จากข้างในกันแน่"
"ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ เรื่องความรู้สึกมันรีบไม่ได้ ฉันเข้าใจ"
"ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ แต่ว่า...ตาขอจองพี่ไว้ก่อนได้ไหม พี่อย่าเพิ่งไปทำแบบนี้กับใครนะคะ" 
คำขอของหญิงสาวตัวเล็ก ๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันใหญ่และกำลังกดทับหัวใจเธออยู่ ความลับของเธอในอดีตที่ฝังลึก กับความรักในปัจจุบันที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำรินจะทำอย่างไรต่อไป...
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“อ้ยยย เขาสองคนคิส ๆ กันแล้วค่าาา แต่คนน้องก็ยังลังเลกับความรู้สึกของตัวเองอยู่ แถมคนพี่ก็...เหมือนจะกำความลับไว้ และยังมีปมอดีตที่คอยทิ่มแทงอยู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามตอนต่อไปนะคะ”